หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร การนับวันไข่ตก นับยังไง ไปดูกัน

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร การนับวันไข่ตก นับยังไง ไปดูกัน

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร การนับวันไข่ตก นับยังไง ไปดูกัน

สาวน้อยสาวใหญ่คงจะเคยได้ยินการนับวันไข่ตกมาบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ข้อดีของการนับวันไข่ตกคือ ให้สาวๆได้เตรียมความพร้อมและเตรียมรับมือกับวันนั้นของเดือนที่กำลังจะมาถึง และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการจะตั้งครรภ์ก็จะสามารถเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นอีกด้วยค่ะ

ความเชื่อที่ว่าการนับหน้า 7 หลัง 7 ของการมีประจำเดือนนั้นคือความปลอดภัย บางรายเข้าใจว่า หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงระยะเวลานี้โดยที่ไม่ใส่ถุงยางหรือไม่มีการป้องกันก็จะไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้นั้น วันนี้พี่ฮูกจะมาไขคำตอบตรงนี้ให้ชัดแจ้งกันค่ะ

วิธีนับวันไข่ตกที่ถูกต้อง

ปกติการตกไข่ของผู้หญิงจะเกิดขึ้นทุกเดือน เดือนละหนึ่งครั้ง หลังการตกไข่ หากไม่ได้รับการปฏิสนธิไข่ก็จะฝ่อและออกมาเป็นประจำเดือน ประจำเดือนของผู้หญิงส่วนใหญ่จะมาทุกๆ 28 วัน บางวันอาจมาช้ากว่ากำหนดบ้างแล้วแต่ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างในสุขภาพร่างกายของแต่ละคน หากประจำเดือนมาปกติและมาตรงเวลา การนับวันตกไข่ก็จะมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยการนับวันตกไข่นั้น จะนับวันแรกหลังจากที่ประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 และเมื่อนับมาจนถึงวันที่ 14 ก็จะเป็นวันที่ไข่ตกลงมาสู่ท่อนำไข่แล้วเคลื่อนตัวไปยังมดลูกและรอได้รับการปฏิสนธิ และเมื่อในช่วงไข่ตกไม่มีการปฏิสนธิ ไข่ก็จะฝ่อและถูกขับออกมาเป็นประจำเดือนหลังจากวันที่ไข่ตกแล้วอีกประมาณ 14 วัน  นั่นก็หมายความว่า หากประจำเดือนของน้องๆมาปกติประจำทุกเดือน สมมุติว่า วันแรกของประจำเดือนมาคือวันที่ 10 ตุลาคม เราก็จะนับวันที่ 10 ตุลาคมเป็นวันที่ 1 จากนั้นนับต่อไปอีก 14 วัน ก็คือวันที่  23 ตุลาคมซึ่งวันที่ 23 ตุลาคมนี่แหละที่เป็นวันไข่ตก และหากไม่ได้รับการปฏิสนธิในวันนี้ไข่ก็จะฝ่อและถูกขับออกมาเป็นประจำเดือนในอีก 14 วันซึ่งก็คือ ประมาณวันที่  6 พฤศจิกายน นั่นเองค่ะ

ในส่วนการนับวันตกไข่เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับประจำเดือนสำหรับคนที่ประจำเดือนมาปกติทุกเดือนนะคะ ก็เตรียมผ้าอนามัยติดตัวไปด้วยเลยค่ะ เผื่อประจำเดือนมาตอนไหนเราจะได้เอามาใช้ได้ทันเวลาค่ะ

และสำหรับคนที่ต้องการตั้งครรภ์นั้น คู่ชายหญิงอาจจะต้องเตรียมมีเพศสัมพันธ์กันในช่วง 1-2 วันก่อนไข่ตก นั่นก็คือในช่วงวันที่ 21-23 ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากยิ่งขึ้นค่ะ

แต่สำหรับคำว่าหน้า 7 หลัง 7 ที่พูดถึงกันนั้น เชื่อกันว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ป้องกันอะไรเลยในช่วง 7วันก่อนการมีประจำเดือนและหลังจากประจำเดือนหมด 7 วัน จะเป็นช่วงระยะปลอดภัยและไม่สามารถทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้นั้น ความจริงแล้ว  ทฤษฎีนี้มีความเสี่ยงต่อการผิดพลาดและเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมสูง เนื่องจากประจำเดือนและวันตกไข่ของแต่ละคนไม่เท่ากัน สุขภาพร่างกายของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆที่อาจจะทำให้ประจำเดือนมาคลาดเคลื่อนไปจากเดิม ดังนั้นการนับหน้า 7 หลัง 7 จึงอาจเกิดความผิดพลาดได้ ทางที่ดีหากยังไม่พร้อมจะให้เกิดการตั้งครรภ์ควรป้องกันไว้ก่อน เช่น การสวมถุงยางอนามัยหรือการป้องกันการตั้งครรภ์รูปแบบอื่นๆค่ะ

ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน

ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน

ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน
ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน

การให้เด็กได้กินผักผลไม้จะช่วยทำให้เด็กๆมีสุขภาพดีและแข็งแรง แต่ก็ยังมักหรือผลไม้อีกบางประเภทที่ไม่ควรนำมาผสมรวมกันแล้วให้เด็กกินพร้อมกันเพราะอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการไม่สบายตัวหรือหนักที่สุดอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกรักได้ เดี๋ยวไปดูกันค่ะ ว่ามีผักหรือผลไม้อะไรบ้างที่ไม่ควรนำมาผสมกันให้เด็กกินค่ะ

1.กล้วย กับพุดดิ้ง

การกินกล้วยหรือพุดดิ้งอย่างเดียวอาจจะรู้สึกอร่อยและเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆนะคะ แต่การจะรวมกล้วยกับพุดดิ้งเข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดการย่อยยาก กระเพาะอาหารจะทำงานหนักขึ้น ทำให้สมองตอบสนองช้าลงและไปกระตุ้นการผลิตสารพิษบางชนิดซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกได้

2.ส้มกับแครอท

ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะเคยดื่มน้ำส้มผสมกับน้ำแครอทกันมาบ้าง เวลาที่ดื่มเข้าไปคงได้รสชาติอร่อย แต่การกิน 2 อย่างนี้ผสมกันอาจจะทำให้เกิดการแสบร้อนกลางอกหรือทำให้กรดไหลย้อน หรือหนักขึ้นอาจจะส่งผลเสียต่อไตและอาจลุกลามไปสู่ปัญหาอื่นๆได้หากรับประทานบ่อย

3.สับปะรดกับนม

ในสับปะรดจะมีโบรมีเลนธรรมชาติที่หากนำมาผสมกับนมแล้วรับประทานอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย หรือปวดหัวได้

4.ฝรั่งกับกล้วย

ผลไม้สองชนิดนี้ถือเป็นผลไม้ที่นิยมของเด็กๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่ แต่การจะผสมผลไม้ทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันแล้วให้เด็กกินอาจจะทำให้เกิดแก๊สหรือเกิดความเป้นกรด ที่อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดหัวและปวดท้องได้

5.ส้มและนม

ผู้ปกครองหลายท่านที่มักผสมส้มและนมเข้าด้วยกันแล้วให้ลูกกิน อาจจะต้องระวังด้วยว่า การรับประทานส้มผสมกับนมอาจจะทำให้เกิดการย่อยยากและส่งผลเสียตามมาอีกมากมายเช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปวดท้องเป็นต้น

มีหลายครั้งที่เรามักจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเด็กๆถึงมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย ทั้งๆที่เราแทบจะดูแลความสะอาดของการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่รู้เลยว่า การรับประทานอาหารบางอย่างพร้อมกัน มันอาจจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้ ดังนั้นเวลาผู้ปกครองจะเอาผลไม้ไหนให้ลูกทาน อย่าลืมศึกษาดูด้วยนะคะ ว่าสามารถทานพร้อมๆกัน หรืผสมกันได้ไหม เผื่อจะได้ลดปัญหาการไม่สบายตัวของเจ้าตัวน้อยได้ เช่นผักหรือผลไม้ทั้ง 5ข้อนี้ค่ะ

ข้อควรรู้ของคนกรุ๊ปเลือด O

ข้อควรรู้ของคนกรุ๊ปเลือด O

ข้อควรรู้ของคนกรุ๊ปเลือด O
ข้อควรรู้ของคนกรุ๊ปเลือด O

กรุ๊ปเลือดส่วนใหญ่ที่เรารู้จักจะมีอยู่ 4 กรุ๊ป นั่นก็คือ A ,B ,AB  และ O ประเทศไทยมีคนหลายกรุ๊ปเลือด แต่ส่วนมากจะเป็นกรุ๊ปเลือด O  ซึ่งคนที่มีกรุ๊ปเลือด O นั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่พิเศษกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น ซึ่งตามข้อมูลเก่าพบว่าคนกรุ๊ปเลือด O จะเป็นนักล่าหรือนักสังเกต แถมคนเลือดกรุ๊ปนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นพ่อบุญทุ่มแม่บุญทุ่มที่สามารถให้เลือดกับทุกคน

โดยคนที่มีกรุ๊ปเลือด O จะมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง จากสถิติหลาย ๆ สถิติของโลกพบว่า คนเลือดกรุ๊ปนี้มีอายุยืนยาวที่สุด แถมคนเหล่านี้ยังมีกรดในกระเพาะอาหารที่แข็งแรงกว่าคนเลือดกรุ๊ปอื่น

คนที่มีกรุ๊ปเลือด O ส่วนใหญ่จะเป็นนักทำ นักปฏิบัติ มีทักษะความเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม หัวไว ทำงานเก่งและไอเดียพรั่งพรู คนเหล่านี้มักมีลักษณะนิสัยทะเยอทะยาน ซื่อสัตย์ มองโลกในแง่ดี

อาหารที่คนกรุ๊ปเลือด O ควรกินมากที่สุดคือ เนื้อไม่ติดมัน และอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์จากนมและธัญพืช รวมถึงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ด้วย

คนกรุ๊ปเลือด O มักเป็นคนที่มีอารมณ์อ่อนไหว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการพนัน การออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาที่รุนแรงเพื่อป้องกันความเครียด เพราะหากเมื่อไรที่พวกเขาเกิดความเครียดขึ้นมาพวกเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้ากว่าคนอื่น ๆ

ด้านสุขภาพ คนกรุ๊ปเลือด O มักจะมีโอกาสที่จะเกิดโรคหลายชนิด ซึ่งโรคที่มักพบบ่อย ๆ ในคนกรุ๊ปเลือดนี้คือ ความเครียด ปัญหาต่อมไทรอยด์ การขาดไอโอดีน  และบางคนที่เกิดความเครียดบ่อย ๆ ก็จะมีโอกาสเกิดโรคอ้วนได้ง่าย ๆ  แถมเมื่อพวกเขาเกิดความเครียด พวกเขาก็มักจะโกรธและกระทำอะไรโดยหุนหันพลันแล่น

ซึ่งหนทางแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้คือ ควรออกกำลังกายเป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวันเพื่อป้องกันพวกเขาไม่ให้เกิดความเครียด เวลากินอาหารก็ควรกินให้ช้าลง ค่อย ๆ เคี้ยวและพยายามผ่อนคลายตัวเองให้เป็น ซึ่งสิ่งที่ไม่ควรละเลยสำหรับคนเลือดกรุ๊ปนี้เลยก็คือ เรื่องออกกำลังกาย เพราะมันจะช่วยคงความสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจ

คนกรุ๊ปเลือดโอ เป็นกรุ๊ปเลือดพิเศษที่สามารถช่วยเหลือชีวิตอื่น ๆ ให้รอดได้ และถึงแม้ว่าประเทศไทยจะมีเลือดกรุ๊ปนี้เยอะกว่าเลือดกรุ๊ปอื่น ๆ แต่กลับพบว่าคนกรุ๊ปเลือด O มักจะมีจิตใจที่ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าที่ควรเพราะพวกเขานั้นมีความเครียดที่สูงกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นคนกรุ๊ปเลือด O จำเป็นต้องหัดเรียนรู้การปล่อยวางและผ่อนคลาย จะช่วยให้พวกคุณสบายใจและไม่หัวเสียกับเรื่องอะไรที่ไม่จำเป็นจนส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย

5 สิ่งที่เด็กผู้หญิงต้องรู้ระหว่างมีประจำเดือน

5 สิ่งที่เด็กผู้หญิงต้องรู้ระหว่างมีประจำเดือน

การมีประจำเดือนครั้งแรกในเด็กหญิงที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นนั้นคงจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าหนักใจมาก เด็กบางคนก็ไม่กล้าที่จะบอกผู้ปกครองและนั่นอาจจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความกังวลใจและปัญหาบางอย่างด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องและอาจเป็นผลให้พวกเขาอายยิ่งกว่าเดิมหรืออาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพบางอย่าง แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ หลังจากที่น้องๆได้อ่านบทความนี้น้องๆจะสามารถรับมือกับวันนั้นของเดือนได้อย่างถูกต้อง

1.จะบอกพ่อแม่ว่ามีประจำเดือนครั้งแรกอย่างไร

เด็กผู้หญิงในวัยนี้บางคนก็รู้สึกเขินอาย ยิ่งเด็กที่อาศัยอยู่กับคุณพ่อเพียงแค่สองคนก็คงจะอายมากกว่าปกติเพราะถึงจะเป็นคุณพ่อ แต่คุณพ่อก็เป็นเพศตรงข้าม ซึ่งหากน้องๆรู้สึกเขินอายและไม่กล้าบอกก็อาจจะต้องพูดคุยกับเพื่อนหรือหาข้อมูลการปฏิบัติตัวที่สอนกันในอินเทอร์เน็ตแทนได้ แต่ยังไงเสียก็ควรรวบรวมความกล้าบอกพ่อแม่ไปดีกว่า ว่าหนูมีประจำเดือนเพราะจะช่วยหาวิธีรับมือและดูแลตัวเองที่ถูกต้องค่ะ

2.ผ้าอนามัยมีกี่ชนิดและเลือกชนิดที่เหมาะสม

ผ้าอนามัยในท้องตลาดมีหลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นผ้าอนามัยแบบแผ่น ผ้าอนามัยแบบสอด  ผ้าอนามัยแบบถ้วย หรืผ้าอนามัยแบบกางเกง ซึ่งผ้าอนามัยที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ ผ้าอนามัยแบบแผ่นซึ่งก็มีออกมาอีกหลายรูปแบบ เช่น แบบมีปีก แบบไม่มีปีก แบบกลางวัน หรือแบบกลางคืน  หากประจำเดือนมามากและต้องขยับบ่อยๆ ก็ควรเลือกผ้าอนามัยแบบมีปีก แต่หากประจำเดือนมาไม่เยอะ และไม่ค่อยได้ขยับ บวกกับไม่ชอบระคายเคืองขาหนีบก็เลือกผ้าอนามัยแบบไม่มีปีก ส่วนเวลากลางคืนก็ใส่ผ้าอนามัยแบบกลางคืนเพราะจะช่วยป้องกันเลือดประจำเดือนไม่ให้ไหลผ่านร่องก้นออกมาเลอะได้

3.เวลามีประจำเดือนแล้วอยากว่ายน้ำต้องทำยังไง

บางครั้งประจำเดือนก็มาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น เรียนว่ายน้ำ ลงแข่งว่ายน้ำหรือแม้แต่ครอบครัวพาไปเที่ยวทะเลช่วงเวลานั้นพอดี เด็กกับน้ำคงเป็นอะไรที่ดึงดูดกันไม่น้อย ซึ่งปัญหานี้แก้ไขได้ค่ะ คือ การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดแทนในช่วงที่เราต้องลงว่ายน้ำนั่นแหละ

4.ถ้าประจำเดือนมาตอนอยู่ที่โรงเรียนแบบกะทันหันต้องทำอย่างไร

เด็กหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ๆ บางครั้งพวกเขายังไม่ทันตั้งตัวหรือเด็กบางคนก็เคยมีประจำเดือนแล้ว แต่ก็ไม่รู้วันที่จะมาแน่นอนจึงไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยไปด้วย ดังนั้นเมื่อเวลามีประจำเดือนมาแบบกะทันหันที่โรงเรียนแล้วไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยไปด้วย วิธีที่จะทำได้คือ ไปซื้อผ้าอนามัยมาใส่ เพราะโรงเรียนทุกแห่งต้องมีร้านค้าขายของพวกนี้อยู่แล้ว หรือหากไม่สามารถไปซื้อได้ ก็อาจจะถามเพื่อนดุว่าใครพอจะมีให้ยืมไหม หรือหากเพื่อนไม่มี หนทางสุดท้ายคือไปบอกคุณครูประจำชั้นซึ่งคุณครูก็จะได้หาทางช่วยต่อไป

5.ถ้ามีเลือดไหลเปรอะที่กระโปรงหรือกางเกงล่ะจะทำยังไง

ในกรณีที่อยู่โรงเรียนแล้วประจำเดือนเปรอะเปื้อนก็ต้องเข้าห้องน้ำแล้วใช้น้ำขยี้คราบออก ซึ่งบางครั้งการที่ประจำเดือนเลอะออกมานั่นหมายความว่า ผ้าอนามัยน่าจะซับเลือดเต็มที่แล้ว น้องๆก็เข้าไปเปลี่ยนผ้าอนามัยและขยี้คราบเลือดที่เปื้อนออก แต่หากเลือดเปรอะตอนอยู่ที่บ้าน ก็เปลี่ยนผ้าอนามัย เปลี่ยนกางเกงแล้วน้ำกางเกงที่เลอะไปซักค่ะ หากกางเกงเลอะใหม่ๆ ควรรีบซักออกนะคะ เพราะคราบเลือดหากรอจนแห้งจะทำให้ซักออกยากมากกว่าเดิมค่ะ

เด็กสาวที่เริ่มย่างเช้าสู่วัยรุ่นบางคนก็เป็นกังวลเกี่ยวกับประจำเดือนมาก ยิ่งหากมีประจำเดือนในช่วงที่ต้องไปโรงเรียนด้วยแล้วก็ยิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม ดังนั้นน้องๆที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ต้องเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้ดีนะคะ ไม่อย่างนั้นหากประจำเดือนเลอะออกมาอาจจะทำให้น้องๆอายเพื่อนมากไปกว่าเดิมนะ และหากใครที่มีปัญหาช่องคลอดมีกลิ่นหมักหมม ให้เจลทำความสะอาดช่องคลอด GYNOGENA Feminine Hygienic Gel ช่วยสิคะ แล้วความกังวลเรื่องกลิ่นของช่องคลอดจะหมดไป

เจลอนามัยสูตรเย็น หอมสดชื่น พร้อมฟองนุ่มละเอียดที่ช่วยทำความสะอาดได้อย่างหมดจด ไม่มีส่วนผสมของสบู่ (Soap-Free Formula) ช่วยคงสภาวะสมดุลกรดอ่อนๆตามธรรมชาติ(pH Balance) กลิ่นหอมสดชื่น ช่วยลดกลิ่นอับชื้น ปลอดภัยต่อจุดซ่อนเร้น เพิ่มความมั่นใจได้ในทุกวัน ปริมาณ : 190 มิลลิลิตร

วิธีใช้ : เทลงบนฝ่ามือ ลูบไล้ให้เกิดฟองเพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้เฉพาะภายนอกเท่านั้น

สนใจสั่งซื้อได้ที่ >> GYNOGENA Feminine Hygienic Gel. เจลล้างช่องคลอด เจลอนามัยสตรี จุดซ่อนเร้น สตรี

8 วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้

8 วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้

เงินเดือนไม่พอใช้เป็นอะไรที่หดหู่ใจอย่างมากนะคะ เงินเดือนออกมาทีดีไจได้ไม่นาน ก็มีค่าใช้จ่ายตามมาอีกเป็นขบวน หลายคนจึงเลือกวิธีการเพิ่มรายได้ ด้วยการหาทำงานพิเศษ ซึ่งก็ถือว่าเป็นทางออกที่ดีค่ะ แต่ถ้าหากเราไม่สามารถทำงานพิเศษได้ อีกหนทางหนึ่งที่เราควรทำคือ การประหยัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นต่าง ๆ  ซึ่งวันนี้เราจะมาบอก 8 วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายลงได้ค่ะ ซึ่งเทคนิคนี้เป้นเทคนิคที่เราใช้เองและได้ผลลัพธ์น่าพอใจมากค่ะ

1. ระวังการใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ 

การใช้จ่ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราคิดว่าไม่เป็นไรมาก นั่นเป็นปัญหาเรื้อรังของความฟุ่มเฟือยเลยทีเดียวค่ะ เพราะการที่เราคิดว่ามันเป็นเงินนิดเดียวไม่เป็นไรหรอกนั่นแหละที่เป็นปัญหาเนื่องจากเงินตรงนี้ถ้ามีหลายอย่างรวมกันมาแล้วเป็นเงินก้อน ที่บางทีอาจเสียมากกว่าที่เราซื้อของแพง ๆ 1 ชิ้นเสียอีก

2. แยกความต้องการกับความจำเป็นให้ออก

สูญเสียกันมาเยอะแล้วกับคำว่าอยากได้ เพราะบางครั้งมันเป็นเพียงแค่อารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น การยับยั้งชั่งใจและไตร่ตรองให้ดีถึงความต้องการกับความจำเป็นจะช่วยทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนลงไปอีกมากเลยล่ะค่ะ

3. ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในแต่ละวัน

เพื่อเป็นการกระตุ้นและวางแผนจัดการกับเงินที่มีอยู่และใช้จ่ายให้เหมาะสม หากไม่มีการทำบัญชีรายรับรายจ่าย คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า คุณได้รับเงินมาเท่านี้แล้วต้องจ่ายกับอะไรไปเท่าไร การวางแผนรายรับรายจ่าย จะช่วยให้คุณจัดการกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นและไม่จำเป็นได้

4. รู้จักอดออมและวางแผนในการใช้จ่าย

หลายคนใช้วิธีแบ่งเงินออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกไว้ใช้จ่ายประจำวัน อีกส่วนสำหรับเก็บออมไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน และอีกส่วนไว้ลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สิน แต่ไม่ว่าจะเลือกทางไหนการรู้จักจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์อย่างคุ้มค่า จะทำให้เราไม่ลำบากภายหลังได้

5. ลดการกินอาหารนอกบ้านลง

ความสุขจากการกินอาหารนอกบ้าน หากเราทำบ่อยเกินไปก็จะทำให้เราเสียเงินไปอย่างน่าเสียดาย ซึ่งบางคนก็ใช้จ่ายในส่วนนี้ไปเยอะ เช่น จากการเที่ยวสังสรรค์หรือกินหมูกระทะบ่อย ๆ ดังนั้นลองลดลงให้เหลือเพียงแค่เดือนละครั้งก็จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้อีกมาก

6. ประหยัดน้ำ ประหยัดไฟ

น้ำไฟที่เราใช้ประจำก็เป็นตัวหนึ่งที่หลายคนละเลย และเป็นตัวดูดเงินออกจากกระเป๋าของเราได้เยอะเหมือนกัน  เราควรมีความรอบคอบใส่ใจ เช่น ถอดปลั๊กเมื่อไม่ใช้งาน ไม่มีการเปิดทิ้งไว้โดยที่เราไม่ได้ใช้ ตรวจเช็คบ่อย ๆ ว่ามีรั่วที่ไหนบ้างแล้วแก้ไข สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้เราประหยัดได้เหมือนกันค่ะ

7.เริ่มปลูกผักไว้กินเอง 

เรื่องนี้อาจทำได้ยากสำหรับคนไม่มีเวลาแต่จะสามารถช่วยได้มากหากทำได้จริง โดยคุณอาจจะเริ่มง่าย ๆ จากการที่เราซื้อผักที่มีรากมา แล้วตัดส่วนรากนำไปปลูกเพื่อใช้ใหม่ในคราวต่อไป วิธีนี้นอกจากจะช่วยประหยัดเงินค่าใช้จ่าย ยังช่วยให้คุณได้กินผักที่ปลอดสารพิษ แถมยังได้ความภาคภูมิใจในตัวเองอีกด้วย

8. เลือกวิธีออกกำลังกายโดยที่ไม่ต้องไปยิม

วิธีออกกำลังกายนั้นมีหลากหลายมาก หากเรายังอยู่ในช่วงที่ต้องประหยัดค่าใช้จ่าย เราควรเลือกออกกำลังกายอย่างอื่นโดยที่เราไม่ต้องเสียเงิน เช่น การวิ่งกลางแจ้ง เต้นแอโรบิคหรือทำโยคะที่บ้านก็ช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีโดยไม่ต้องเสียเงิน

การประหยัดค่าใช้จ่าย นอกจากจะทำให้เราไม่ต้องลำบากแล้ว เรายังไม่ต้องเสียเงินซื้อของที่ไม่จำเป็น เก็บเงินไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่เราต้องการจริง ๆ ดีกว่าการใช้เงินโดยไม่คิดหน้าคิดหลังแล้วมาหัวหมุนนั่งเครียดเพราะเงินไม่พอใช้อีกต่อไปแล้วค่ะ

14 สูตรอาหารเช้าที่ดีที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์

14 สูตรอาหารเช้าที่ดีที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะทารกตัวน้อย ๆ ที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกในความปกครองของเราคงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด ระยะแรกของการตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ที่จะแสดงอาการไม่สบายออกมาบ่อยๆ เช่น อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ทำให้หลายคนทานอาหารไม่ได้เนื่องจากแพ้ท้องหนัก

ผู้หญิงส่วนใหญ่อาการแพ้ท้องจะหมดไปเมื่อเข้าสู่ระยะที่สองแต่บางคนก็แพ้ท้องไปตลอดการตั้งครรภ์ ส่งผลให้ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอทั้งต่อร่างกายและเด็กทารกในครรภ์ และในวันนี้เราจะมาแนะนำสำหรับสูตรอาหารเช้าที่แสนอร่อยและทำได้ง่าย ๆ สำหรับมื้อเช้าที่สำคัญจะทำให้คุณแม่ได้รับสารอาหารและแคลอรี่ที่เพียงพอและดีต่อลูกน้อย

1. คุกกี้ขิงอ่อน

ขิงเป็นสมุนไพรประจำบ้านที่ช่วยบรรเทาอาการคลื่นใส้ และในผู้หญิงบางคนการทานคาร์โบไฮเดรตจะทำให้กินได้ง่ายกว่าเมื่อรู้สึกแพ้ท้อง ดังนั้น คุกกี้ขิงจึงเป็นอาหารที่เหมาะสมและรับประทานง่าย

2. น้ำมะนาว

สำหรับผู้หญิงบางคน พบว่าน้ำมะนาวช่วยแก้อาการคลื่นไส้ของพวกเธอได้ เพราะน้ำมะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร การทำน้ำมะนาวเองเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไปหาซื้อน้ำมะนาวตามท้องตลาดเพราะคุณสามารถคุมน้ำตาลได้

3. ผลไม้แช่เย็น กับโยเกิร์ต

ผลไม้มีสารอาหารหลายชนิด ส่วนโยเกิร์ตก็มีแคลเซียมสามารถรักษากรดในกระเพาะอาหารได้

4. แตงโม +Mojito+ สลัด

อาหารเหล่านี้จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ แต่อย่าลืมทานคาโบไฮเดรตเสริมด้วย

5. ซุปมะนาวกับเนื้อไก่

อาหารสูตรนี้มีส่วนผสมหลักคือ น้ำสต๊อก เนื้อไก่ ไข่ มะนาวและข้าว ซึ่งสูตรนี้จะอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหาร

6. ผลไม้หรือบิสกิตจิ้มเนยถั่วลิง ผสมโยเกิร์ต 

สูตรนี้รับประทานง่ายและเป็นขวัญใจของคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะอร่อยและมีโปรตีนสูง

7. น้ำมันมะพร้าว +กล้วย +สมูทตี้

ในสูตรนี้จะอุดมไปด้วย โพแทสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและแคลเซียม อาการแพ้ท้องจะทำให้เราสูญเสียน้ำในร่างกาย สูตรนี้จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

8. กล้วย+ข้าวโอ๊ต+ Muffins

สูตรนี้ใช้เวลาไม่มากในการทำ และกินง่าย สบายท้องแถมยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

9. ลูกอมมะนาวหรือขิง

 ทั้งขิงและมะนาวเป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ที่ดีลองรับประทาน 2 ชิ้น ทุก 2-4 ชั่วโมงก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ดี

10. ถั่วผัด

ถั่วเต็มไปด้วยโปรตีนและสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการ แถมอ่อนโยนไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ให้คุณอิ่มสบายท้องท้อง

11. อะโวคาโด้ + ส้ม +ข้าวโอ๊ต

สูตรนี้เป็นอาหารที่สบายท้องแต่เต็มไปด้วยคุณค่าและสารอาหารที่เหมาะสม และช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้

12. แอปเปิ้ล+กล้วย+ไข่

สูตรอาหารเช้าสูตรนี้ก็เป็นของหาง่ายในครัวเรือน แถมยังอิ่ม สบายท้องไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารแถมยังได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ

13. กล้วย+ไข่+น้ำส้ม

สูตรนี้รับประทานง่ายกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน น้ำส้มมีวิติมนซี จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น สบายท้อง

14. ชีสย่างหวานและเผ็ด

 สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้จากอาหารรสเปรี้ยว สูตรนี้เพียงเพิ่มแอปเปิลลงไปอีกนิดก็สบายท้องและลดอาการคลื่นไส้ลงได้

เมื่อคุณรู้สึกคลื่นไส้สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคืออาหาร เพราะหลายคนเมื่อกินอาหารเข้าไปก็มักจะอาเจียนออกมาทำให้กลัวการกินอาหาร แต่การไม่กินอาหารร่ากายก็จะไม่แข็งแรงและส่งผลเสียต่อเด็กในท้อง ดังนั้นสูตรอาหารข้างต้นจะช่วยอุดช่องว่างระหว่างการรับประทานอาหารกับการคลื่นไส้อาเจียนได้

10 เคล็ด(ไม่)ลับในการประหยัดแบตเตอรี่ Android

10 เคล็ด(ไม่)ลับในการประหยัดแบตเตอรี่ Android

10 เคล็ด(ไม่)ลับในการประหยัดแบตเตอรี่ Android

สำหรับคนที่ใช้งานโทรศัพท์มือถือหรือสมาร์ทโฟน Android แล้วรู้สึกว่าแบตเตอร์รี่หมดไวมากคงจะหัวเสียกันไม่น้อยใช่ไหมคะ มันอาจจะไม่แปลกถ้าคุณใช้งานมันอยู่ตลอด แต่มันจะไม่ปกติหากคุณปล่อยไว้เฉย ๆ หรือใช้งานน้อยมากแต่แบตกลับหมดไว โดยในวันนี้เราจะมาบอกเพื่อนๆถึงเคล็ดลับ 10 ข้อที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานแบตเตอร์รี่ Android ของคุณเผื่อเอาไว้ใช้ในยามจำเป็นค่ะ

1. ปิดหรือถอนการติดตั้งแอพพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้งานบ้าง 

ลองสำรวจการใช้งานแอพพลิเคชั่นในโทรศัพท์ดุนะคะ บางครั้งแอพพิเคชั่นที่เราเคยใช้และเปิดมาเป็นเวลานานและหยุดใช้งานไป แต่บางครั้งแอพฯเหล่านี้มันยังคงทำงานอยู่และกินแบตเตอร์รี่ของเรา เคล็ดลับคือ ให้เรามองหาแอพฯ ที่เราไม่ได้ใช้แล้วปิดการใช้งาน หรือไม่ก็ถอนการติดตั้งแอพฯ ที่เราไม่ได้ใช้ออกจากเครื่องไป

2. ลดความสว่างของหน้าจอแสดงผล และปรับให้พอดี

 หลายคนเวลาใช้งานสมาร์ทโฟนมักเปิดแสงสว่างจ้าตลอดเวลา การทำแบบนี้ทำให้เปลืองแบตเตอร์รี่มาก แถมยังทำให้สายตาของเราได้รับผลกระทบในทางที่ไม่ดีอีกด้วย ดังนั้นเราควรเปิดแสงสว่างให้พอดีกับสถานที่จะช่วยประหยัดแบตเตอร์รี่และถนอมสายตาของเราอีกด้วย เคล็ดลับพิเศษคือ ลองตั้งระยะเวลาการปิดหน้าจอเป็น 30 วินาทีดูก็จะช่วยเรื่องประหยัดแบตเตอรี่ได้ในระดับหนึ่งค่ะ

3. ควบคุมการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

ปิด wifi ,Bluetooth และ Gps เมื่อไม่ได้ใช้งาน  หากเราไม่ได้ใช้งานอินเทอร์เน็ตตลอดเวลา เราควรเลือกปิดการเชื่อมต่อในเวลาที่เราไม่ได้ใช้ เพราะการซิงค์อินเทอร์เน็ตไว้ตลอดเวลานอกจากจะทำให้เครื่องช้าลงแล้ว ยังเปลืองแบตเตอร์รี่อีกด้วย

4. หากอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณให้เปิดโหมดเครื่องบิน 

เพราะการเปิดโหมดเครื่องบินจะทำให้สมาร์ทโฟนไม่ใช้จ่ายพลังงาน เพราะไม่จำเป็นต้องค้นหาเครือข่าย

5. ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นสำหรับประหยัดพลังงาน

  มีแอพฯ หลายตัวเลือกที่ดีในการช่วยประหยัดพลังงาน หนึ่งในนั้นคือ PSafe Total Android และฟังก์ชั่น “Battery” ซึ่งคุณสามารถตรวจสอบการใช้งานและเรียกโหมดเฉพาะสำหรับการใช้งานในแต่ละสถานการณ์ได้

6. ชาร์จแบตฯ ด้วยวิธีที่ถูกต้อง

  การชาร์จแบต ฯ ที่ถูกต้องคือ ไม่รอจนกว่าแบตเตอรี่ในเครื่องเหลือน้อยเกิน 20 % เพราะการเหลือแบตฯ น้อยแล้วค่อยชาร์จอาจมีความเสี่ยงที่จะเสียรอบชาร์จสูงและอาจส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว ดังนั้นการชาร์จแบตฯ ที่ถูกต้องคือควรทำการชาร์จเมื่อแบตเตอรี่เหลือประมาณ 30% และไม่ควรใช้งานตัวเครื่องในระหว่างที่ชาร์จ

7. เปลี่ยนภาพหน้าจอให้เป็นสีเข้ม

เนื่องจากหน้าจอสีเข้มจะทำให้เรามองเห็นฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้ง่ายโดยที่ไม่ต้องใช้แสงสว่างในหน้าจอเยอะจะช่วยประหยัดแบตเตอรี่ไปได้อีกระดับหนึ่งค่ะ

8. หมั่นตรวจสอบแถบสัญญาณของอุปกรณ์ที่คุณใช้งาน

  หากพบว่าไม่มีสัญญาณให้เปิดโหมดเครื่องบินหรือ ปิดเครื่องเพื่อที่จะรักษาแบตเตอรี่ เพราะการใช้โทรศัพท์มือถือในบริเวณที่มีสัญญาณต่ำจำเป็นต้องใช้กำลังไฟมากกว่าปกติ

9. หลีกเลี่ยงการปล่อยแบตเตอรี่ทิ้งไว้โดยไม่ชาร์จให้เต็ม

เพราะจะเป็นการลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ลงและไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่เหลือต่ำกว่า 20%

10. เปิดโหมดประหยัดพลังงาน

โหมดประหยัดพลังงานจะทำการประหยัดแบตเตอรี่โดยการจำกัดประสิทธิภาพของ CPU ในทุก ๆ ด้านคุณสามารถใช้โหมดนี้ในยามจำเป็นที่ต้องจำกัดการใช้งานและยังหาที่ชาร์จเพิ่มไม่ได้ มันจะช่วยยืดพลังงานของแบตเตอรี่ออกไปอีกระดับหนึ่ง

การดูแลรักษาอุปกรณ์ Android ที่ใช้อยู่นั้นเป็นเรื่องสำคัญเพราะหากเราอยู่ในกรณีฉุกเฉินเราจะได้มีแบตไว้ใช้ หรือไม่อุปกรณ์ที่มีความพร้อมอยู่เสมอจะย่นระยะทางของอุปสรรคที่เราจะต้องเจอให้ลดลง และประหยัดเงินในกระเป๋าที่เราจะไม่ต้องเสียเงินซ่อมหรือซื้อเครื่องใหม่ ดังนั้นหากเพื่อน ๆ รู้สึกว่าอยากประหยัดแบตเตอรี่ลองวิธีดี ๆ เหล่านี้ดูสิคะ

6 ประโยชน์ของกัญชาที่คุณคาดไม่ถึง

6 ประโยชน์ของกัญชาที่คุณคาดไม่ถึง

กัญชากำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชนและคนทั่วไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งข้อมูลของมันก็มีทั้งทางด้านบวกและด้านลบ และในวันนี้เราจะมาบ่งบอกถึงประโยชน์ของกัญชาแบบที่คุณคาดไม่ถึงและไม่เคยรู้มาก่อนค่ะ ว่ากัญชาเนี่ยมันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด

กัญชาเป็นพืชเอนกประสงค์และมีประโยชน์อย่างมากมายให้กับมนุษย์มานานหลายศตวรรษทั้งเป็นส่วนช่วยในการผลิตเครื่องมือและอาหารหลากหลายชนิด และกัญชาถูกนำใช้ทั่วโลกเกือบทุกสถานการณ์

กัญชงและกัญชาแตกต่างกันอย่างไร

กัญชงและกัญชามักจะทำให้หลายคนสับสน ถึงแม้ว่าทั้งสองชนิดจะไม่ใช่พืชชนิดเดียวกัน แต่หลายคนก็ไม่เห็นความแตกต่าง เท่าไรนัก ในกัญชงจะมีปริมาณ THC(Tetrahydrocannabinol)หรือสารที่ก่อให้เกิดความมึนเมา น้อยกว่า 3% ดังนั้นจึงไม่มีความสามารถทางด้านผลิตเป็นยาปฏิชีวนะ(ไม่ส่งผลต่อสภาวะจิตใจ) ในขณะที่กัญชามีประมาณ THC มากกว่า 5% ส่งผลต่ออาการทางจิต

1. กัญชาใช้เป็นส่วนผสมของการผลิตขนมและอาหารเสริมต่าง ๆ

เมล็ดกัญชาได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับผู้บริโภค เนื่องจากในเมล็ดกัญชาอุดมไปด้วยกรดไขมัน โปรตีน วิตามินอี ฟอสฟอรัส โซเดียมและโพแทสเซียมสูง ด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้นมกัญชาจึงเป็นที่นิยมของผู้คน

วิธีทำนมกัญชาด้วยตัวเองที่บ้านสามารถทำเองง่ายๆด้วยการนำเมล็ดกัญชา 1 ถ้วย กับน้ำสองส่วนมาปั่นละเอียด จากนั้นกรองเอาแต่น้ำแล้วนำมาดื่ม ซึ่งเมื่อดื่มแล้วเราจะได้สัมผัสกับครีมสีขาวนุ่มเนียน ถ้าจะให้อร่อยต้องทานคู่กับธัญพืชในมื้อเช้าค่ะ

2. กัญชาใช้ผลิตเป็นผ้าที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม

กัญชาถูกนำมาใช้ในการผลิตผ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากในหลายประเทศยังมีกฎหมายห้ามปลูกกัญชาทำให้มีสิ่งทอที่เกิดจากกัญชาลดลง โดยผ้าที่ทำจากกัญชาเป็นผ้าที่ให้ความอบอุ่นและนุ่มสบาย แถมยังมีความทนทานกว่าผ้าชนิดอื่นๆเป็นอย่างมาก ผ้าจากกัญชากำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกับผ้าฝ้าย เพราะกัญชาสามารถผลิตผ้าได้ปริมาณมากกว่าและยังมีกระบวนการผลิตที่ผลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้มน้อยกว่าการผลิตผ้าฝ้ายอีกด้วย

3.กัญชาใช้ผลิตกระดาษ

กัญชาถูกนำมาใช้ทำกระดาษมานานกว่า 2000 ปี และเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับการผลิตกระดาษมากกว่าไม้ เพราเติบโตได้เร็วกว่าแถมยังไม่จำเป็นต้องตัดไม้ทำลายป่า แถมกระดาษที่ผลิตจากกัญชายังเป็นกระดาษที่มีความทนทานสูงมาก ซึ่งก่อนหน้านี้กระดาษที่ผลิตจากกัญชาเป็นกระดาษที่ใช้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นกระดาษ parchment

4.กัญชาใช้ผลิตเป็นวัสดุก่อสร้าง

สิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยมีผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุก่อสร้างทั่วไปเช่นคอนกรีตและฉนวนกันความร้อนจะช่วยเพิ่มการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อที่อยู่อาศัยของเราและทำให้ชีวิตของเรามีความยั่งยืนน้อยลงในระยะยาว แต่โชคดีที่กัญชาสามารถผลิต Hempcrete ได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคอนกรีตที่มีน้ำหนักเบากันไฟและมีความยืดหยุ่น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือสามารถรีไซเคิลได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

5.กัญชาใช้ผลิตพลาสติก

โลกของเราใช้พลาสติกจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม  แต่ปัญหาพลาสติกล้นเมืองกำลังจะลดลงไปเมื่อพลาสติกชีวภาพที่ผลิตจากกัญชาจะเป็นทางเลือกที่ดีต่อไปในอนาคตเพราะดีต่อสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายเองได้

6.กัญชาถูกนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง

เชื้อเพลิงส่วนใหญ่ที่เราใช้สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งในปัจจุบันกัญชาถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนชีวภาพที่คล้าย ๆ กับน้ำมันเบนซิน แต่ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

คุณประโยชน์ที่หลากหลายของกัญชานั้นเป็นที่ต้องการและดีต่อโลก แต่หากว่ากัญชายังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในบางประเทศเพราะหลายคนคิดถึงผลเสียและรู้จักในด้านที่ไม่ดีของกัญชาเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้มองไม่เห็นถึงศักยภาพอีกด้านที่สำคัญของกัญชาซึ่งมีประโยชน์หลายด้านมาก ๆ ต่อโลกของเรา หวังเพียงแค่ว่ากัญชาจะถูกนำมาสร้างประโยชน์ต่อโลกมากกว่าที่เป็นอยู่

10 อาหารและเครื่องดื่มที่ควรเลี่ยงเมื่ออายุเกิน 40 ปี

10 อาหารและเครื่องดื่มที่ควรเลี่ยงเมื่ออายุเกิน 40 ปี

คนที่มีอายุเกิน 40 ปีไปแล้วอาจสังเกตเห็นว่าคุณไม่สามารถกินหรือดื่มสิ่งที่คุณเคยกินมาบางอย่างได้เหมือนแต่ก่อน นั่นเป็นเพราะร่างกายของคุณไม่ได้แข็งแรงเท่าเดิมแล้วและการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลาย ๆ อย่างและในวันนี้เราจะมาบอกถึงอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอายุเกิน 40 ปี เพราะอาจจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงสูงมากยิ่งขึ้นค่ะ

1. เบคอน

การศึกษาหลายชิ้นซึ่งรวมถึงเรื่องจากสถาบัน Karolinska ในสตอกโฮล์มประเทศสวีเดนพบว่าการกินเบคอนวันละ 3 ชิ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้เกือบหนึ่งในสี่ และการศึกษาแบบเดียวกันนี้อีกหลายชิ้นยังสรุปได้ว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์ประเภทแปรรูป / อบแห้งอื่น ๆ เช่นแฮมไส้กรอกเบคอน frankfurters และซาลามี่อาจจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคที่อันตรายต่อร่างกายได้

2. แอลกอฮอล์

 แอลกอฮอล์โดยเฉพาะเครื่องดื่มค็อกเทลมีน้ำตาลมากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายของคุณพังพินาศเร็วขึ้น อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังทำร้ายวิตามินเอจากร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ลงเร็วอีกด้วย

3. น้ำอัดลม

ในน้ำอัดลมเต็มไปด้วยคาเฟอีน น้ำตาลกลั่น และฟรักโทส ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปัญหาระบบทางเดินอาหาร การนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคเบาหวาน อีกทั้งคาเฟอีนที่ได้รับพบว่าก่อให้เกิดโรคเกาต์ และเพิ่มโอกาสของการเป็นโรคหัวใจวาย

4. ของทอดต่าง ๆ

การกินของทอดที่ผ่านความร้อนสูงจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการรับประโยชน์จากอาหารเหล่านั้นคือ ทำการนึ่ง ต้ม แทนการทอด

5. ขนมปังขาว

ขนมปังขาวหรืออาหารที่อุดมด้วยแป้งขาว เช่น แครกเกอร์ม้วนและพาสต้า อาหารเหล่านี้จะเพิ่มการอักเสบในร่างกาย การอักเสบนี้อาจมีบทบาทในการเป็นพาหะของโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวานประเภท 2ได้

6. โดนัท

ในโดนัทประกอบด้วยน้ำตาล แป้งขาว และไขมันทรานส์ ที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีสาร ริลาไมด์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งปอดได้

7. ขนมกรุบกรอบ

 อายุที่มากขึ้น การเผาผลาญแคลอรี่ก็จะลดลง ในขนมกรุบกรอบจะมีปริมาณของโซเดียมสูง แคลลอรี่สูงแถมยังมีผงชูรสที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

8. ซอสปรุงรสต่าง ๆ

เนื่องจากซอสเหล่านี้มีปริมาณของโซเดียมสูงมาก มันจะทำให้คุณผิวแห้งและผิวหนังหย่อนคล้อย แถมเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรความดันโลหิตสูงอีกด้วย

9. ป๊อปคอร์นสำเร็จรูป

ป๊อปคอร์นสำเร็จที่ใช้ใส่ไมโครเวฟแล้วได้ป๊อปคอร์นอร่อย ๆ ง่าย ๆ นั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสูงมาก แถมยังไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน

10. น้ำตาล หรือ สารให้ความหวานประเภทต่าง ๆ

 เนื่องจากอาหารเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำตาลในปริมาณที่สูงมาก แถมก่อให้เกิดการเสพติดความหวานได้ง่าย น้ำตาลที่สูงส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันอุดตัน โรคอ้วน โรคมะเร็ง ฯลฯ

ยิ่งมีอายุเพิ่มมากยิ่งขึ้น กระบวนการการทำงานของร่างกายก็จะเสื่อมสภาพ หรือความสามารถในการทำงานลดลง การเลือกทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ในทางกลับกันการเลือกรับประทานอาหารที่ดี และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงและอยู่กับลูกหลานได้อีกนาน

ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร

ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร

ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร
ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร

พ่อแม่ยุคใหม่อาจจะวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่ลูกเป็นเด็กดื้อหรือชอบโกหกบ่อยๆ เพราะนิสัยเหล่านี้หากไม่ถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น วันข้างหน้าอาจส่งผลเสียต่อตัวของลูกรักอย่างแน่นอน ดังนั้นหากผู้ปกครองที่มีลูกหลานดื้อหรือชอบโกหกบ่อยๆ เรามีหนทางออกดังนั้น

1.พูดคุยดีๆและใจเย็นๆ

เชื่อไหมคะว่า การที่เด็กๆ ชอบดื้อ หรือโกหกบ่อยๆนั้น มันมีสาเหตุ ซึ่งสาเหตุหลักๆที่ทำให้เด็กต้องเป็นอย่างนั้นก็คือ พฤติกรรมของผู้ปกครองที่ปฏิบัติต่อเขา เด็กหลายคนดื้อเพราะผู้ปกครองชอบด่าลูกโดยที่ไม่ถามเหตุผลของพวกเขาก่อน ส่วนเด็กที่ชอบโกหกนั่นเพราะผู้ปกครองลงโทษเขาแรงเกินไปอย่างไม่สมเหตุสมผล

คนเราไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องการปกป้องตัวเองด้วยกันทั้งนั้น หากเราประเมินแล้วว่าพูดความจริงไปแล้วเราต้องถูกทำโทษ พวกเขาก็มักจะโกหกเพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่สำหรับเด็กที่โกหกได้อย่างหน้าตาย นั่นก็แปลได้ว่า พวกเขากดดันและเจอเรื่องที่เลวร้ายจากผู้ปกครองมาพอสมควร ซึ่งหนทางแก้ไขในเรื่องนี้ ผู้ปกครองต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ค่อยๆพูดค่อยๆสอนเด็ก หากต้องลงโทษควรลงโทษโดยการตัดเวลาหรือตัดกิจกรรมบางอย่างที่เด็กๆชอบแทนการตีหรือด่าแรงๆ แล้วสอนถึงโทษของการโกหกจะช่วยปรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กให้ดีขึ้นได้

2.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก หรือหมั่นทำกิจกรรมดีๆร่วมกัน

เพื่อให้เด็กคุ้นเคยและมั่นใจในความรักและความหวังดีจากผู้ปกครอง หากเวลาลูกทำผิด ควรใช้การสอนให้ลูกแก้ไขให้ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการตีหรือด่าอย่างรุนแรงเพราะจะทำให้เด็กกลัวและแสดงออกมาด้วยการดื้อหรือโกหกมาขึ้นไปอีก

3.ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี

ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่หรือคนเลี้ยงดูเป็นยังไง เด็กก็จะเป็นแบบนั้น หากลูกดื้อและชอบโกหก นั่นอาจหมายถึง ผู้ปกครองอาจเคยกระทำหรือแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นให้เด็กได้เห็น และเด็กๆเมื่อเห็นบ่อยๆก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นลองสังเกตพฤติกรรมของตนเอง คนในครอบครัวและลูกของคุณดูว่าเป็นยังไง หากพ่อแม่ไม่เคยทำเรื่องโกหกให้ลูกเห็นก็ต้องดูว่าคนอื่นๆทำหรือไม่ หากพบว่ามีใครทำ ก็พูดคุยและช่วยกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกหลานค่ะ

เด็กที่ดื้อหรือโกหกบ่อยๆ หากผู้ปกครองเอาใจใส่ในปัญหาที่ลูกมีและช่วยกันแก้ไขอย่างจริงจัง ก็จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กให้ดีขึ้นได้ อย่าลืมนะคะว่า เด็ก หากยังเล็กสามารถสอนหรือปรับได้ง่าย แต่หากโตขึ้นไปเท่าไรมันจะแก้ยากขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีผู้ปกครองหากพบว่าบุตรหลานมีพฤติกรรมเหล่านี้ควรรีบหาทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆค่ะ

5อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นโรคไขมันพอกตับ

5อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นโรคไขมันพอกตับ

โรคไขมันพอกตับส่วนใหญ่การเกิดของโรคนี้เกิดมาจากการกินอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน โดยพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้แก่ การกินอาหารไม่มีประโยชน์และไม่ยอมออกกำลังกาย ปล่อยให้ตัวเองเป็นโรคอ้วน ซึ่งคนอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันพอกตับสูงถึง 30% แต่ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักเป็นโรคนี้ จึงควรลดน้ำหนักและเลี่ยงอาหารเหล่านี้ค่ะ

1.น้ำตาล น้ำอัดลม หรือสารให้ความหวานต่าง ๆ

เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงจะทำให้การเพิ่มระดับของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและน้ำตาลเหล่านี้ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นไขมัน แล้วเก็บสะสมเอาไว้ตามส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้เป็นโรคอ้วนได้ง่าย ๆ และโรคอ้วนก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในตับสูงขึ้น แถมยังเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายอื่น ๆ เช่นโรคมะเร็ง เพราะอาหารชั้นยอดของโรคมะเร็งก็คือน้ำตาล ดังนั้นการหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรืออาหารหวาน ๆ นอกจากจะไม่ทำร้ายร่างกายแล้ว ยังช่วยลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาและยังช่วยลดไขมันพอกตับได้อีกด้วย

2.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคไขมันพอกตับและโรคตับชนิดอื่น ๆ เช่น ตับแข็งหรือตับอักเสบ อีกทั้งยังทำให้ตับของเราทำงานมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปริมาณของน้ำตาลสูงมาก และยังมีแคลอรี่ที่สูงไม่แพ้กัน สองสิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันพอกตับก็เพิ่มขึ้นตามเป็นเท่าตัว

3.อาหารที่มีไขมันทรานส์

อาหารเหล่านี้จะมีปริมาณไขมันที่ไม่ดีสูงมาก  อีกทั้งร่างกายยังย่อยได้ง่าย ทำให้มีพลังงานสะสมเพิ่ม เมื่อพลังงานสะสมเหล่านี้ไม่ได้รับการใช้งานก็จะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันไปสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงตับด้วย ซึ่งอาหารที่มีไขมันทรานส์ได้แก่ ขนมปังหรือเบเกอรี่ที่ไม่ได้ทำเอง ขนมอบกรอบ ครีมเทียม นมข้นหวาน และน้ำมันที่ผ่านความร้อนสูง

4.ธัญพืชแปรรูปต่างๆ

ธัญพืชที่ผ่านการแปรรูป เช่น ขนมปังขาว พาสต้า หรือข้าวขาว ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดไขมันสะสมในตับได้ เนื่องจากธัญพืชเหล่านี้ผ่านกรรมวิธีการเอาเส้นใยออกไปทำให้เหลือแค่แป้งและน้ำตาล ตัวแป้งและน้ำตาลนี้จะแปรเปลี่ยนไปเป็นไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและไขมันพอกตับได้ง่าย ๆ โดยจากการศึกษาในคน 9000 คน พบว่า การกินขนมปังขาว 2 ชิ้นต่อวัน สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้ถึง  40% เลยทีเดียว

5.อาหารทอด

อาหารทอดมักจะใช้ความร้อนสูงในการทอดเพื่อให้อาหารสุก ความร้อนที่สูงเกินไปจะก่อให้เกิดไขมันทรานส์ได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังมีแคลอรี่สูง ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไขมันพอกตับได้อย่างง่ายดาย

อาหารเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดโรคหรือป้องกันโรคต่าง ๆ หากเราเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันโรค แต่ถ้าเราเลือกกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ก็จะทำให้ร่างกายทรุดโทรมและเกิดโรคต่าง ๆได้ง่ายเช่นกัน

สามารถตามอ่านบทความดีๆของเราได้อีกช่องทางหนึ่งคือ https://cities.trueid.net