ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน

ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน

ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน
ผลไม้ 5 ชนิดที่ไม่ควรนำมาผสมให้เด็กกินพร้อมกัน

การให้เด็กได้กินผักผลไม้จะช่วยทำให้เด็กๆมีสุขภาพดีและแข็งแรง แต่ก็ยังมักหรือผลไม้อีกบางประเภทที่ไม่ควรนำมาผสมรวมกันแล้วให้เด็กกินพร้อมกันเพราะอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการไม่สบายตัวหรือหนักที่สุดอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของลูกรักได้ เดี๋ยวไปดูกันค่ะ ว่ามีผักหรือผลไม้อะไรบ้างที่ไม่ควรนำมาผสมกันให้เด็กกินค่ะ

1.กล้วย กับพุดดิ้ง

การกินกล้วยหรือพุดดิ้งอย่างเดียวอาจจะรู้สึกอร่อยและเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆนะคะ แต่การจะรวมกล้วยกับพุดดิ้งเข้าด้วยกัน จะทำให้เกิดการย่อยยาก กระเพาะอาหารจะทำงานหนักขึ้น ทำให้สมองตอบสนองช้าลงและไปกระตุ้นการผลิตสารพิษบางชนิดซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อทารกได้

2.ส้มกับแครอท

ผู้ใหญ่หลายคนอาจจะเคยดื่มน้ำส้มผสมกับน้ำแครอทกันมาบ้าง เวลาที่ดื่มเข้าไปคงได้รสชาติอร่อย แต่การกิน 2 อย่างนี้ผสมกันอาจจะทำให้เกิดการแสบร้อนกลางอกหรือทำให้กรดไหลย้อน หรือหนักขึ้นอาจจะส่งผลเสียต่อไตและอาจลุกลามไปสู่ปัญหาอื่นๆได้หากรับประทานบ่อย

3.สับปะรดกับนม

ในสับปะรดจะมีโบรมีเลนธรรมชาติที่หากนำมาผสมกับนมแล้วรับประทานอาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดท้อง ท้องเสีย หรือปวดหัวได้

4.ฝรั่งกับกล้วย

ผลไม้สองชนิดนี้ถือเป็นผลไม้ที่นิยมของเด็กๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ใหญ่ แต่การจะผสมผลไม้ทั้งสองชนิดเข้าด้วยกันแล้วให้เด็กกินอาจจะทำให้เกิดแก๊สหรือเกิดความเป้นกรด ที่อาจจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ปวดหัวและปวดท้องได้

5.ส้มและนม

ผู้ปกครองหลายท่านที่มักผสมส้มและนมเข้าด้วยกันแล้วให้ลูกกิน อาจจะต้องระวังด้วยว่า การรับประทานส้มผสมกับนมอาจจะทำให้เกิดการย่อยยากและส่งผลเสียตามมาอีกมากมายเช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือปวดท้องเป็นต้น

มีหลายครั้งที่เรามักจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเด็กๆถึงมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย ทั้งๆที่เราแทบจะดูแลความสะอาดของการรับประทานอาหารอย่างเคร่งครัดแล้วก็ตาม ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่รู้เลยว่า การรับประทานอาหารบางอย่างพร้อมกัน มันอาจจะเกิดปฏิกิริยาบางอย่างที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกายของเราได้ ดังนั้นเวลาผู้ปกครองจะเอาผลไม้ไหนให้ลูกทาน อย่าลืมศึกษาดูด้วยนะคะ ว่าสามารถทานพร้อมๆกัน หรืผสมกันได้ไหม เผื่อจะได้ลดปัญหาการไม่สบายตัวของเจ้าตัวน้อยได้ เช่นผักหรือผลไม้ทั้ง 5ข้อนี้ค่ะ

14 สูตรอาหารเช้าที่ดีที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์

14 สูตรอาหารเช้าที่ดีที่สุดสำหรับหญิงตั้งครรภ์

การตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน เพราะทารกตัวน้อย ๆ ที่กำลังจะออกมาลืมตาดูโลกในความปกครองของเราคงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุด ระยะแรกของการตั้งครรภ์นั้นเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่วุ่นวายมากสำหรับหญิงตั้งครรภ์โดยเฉพาะกระเพาะอาหาร ที่จะแสดงอาการไม่สบายออกมาบ่อยๆ เช่น อาการแพ้ท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ทำให้หลายคนทานอาหารไม่ได้เนื่องจากแพ้ท้องหนัก

ผู้หญิงส่วนใหญ่อาการแพ้ท้องจะหมดไปเมื่อเข้าสู่ระยะที่สองแต่บางคนก็แพ้ท้องไปตลอดการตั้งครรภ์ ส่งผลให้ได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอทั้งต่อร่างกายและเด็กทารกในครรภ์ และในวันนี้เราจะมาแนะนำสำหรับสูตรอาหารเช้าที่แสนอร่อยและทำได้ง่าย ๆ สำหรับมื้อเช้าที่สำคัญจะทำให้คุณแม่ได้รับสารอาหารและแคลอรี่ที่เพียงพอและดีต่อลูกน้อย

1. คุกกี้ขิงอ่อน

ขิงเป็นสมุนไพรประจำบ้านที่ช่วยบรรเทาอาการคลื่นใส้ และในผู้หญิงบางคนการทานคาร์โบไฮเดรตจะทำให้กินได้ง่ายกว่าเมื่อรู้สึกแพ้ท้อง ดังนั้น คุกกี้ขิงจึงเป็นอาหารที่เหมาะสมและรับประทานง่าย

2. น้ำมะนาว

สำหรับผู้หญิงบางคน พบว่าน้ำมะนาวช่วยแก้อาการคลื่นไส้ของพวกเธอได้ เพราะน้ำมะนาวอุดมไปด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหาร การทำน้ำมะนาวเองเป็นทางเลือกที่ดีกว่าไปหาซื้อน้ำมะนาวตามท้องตลาดเพราะคุณสามารถคุมน้ำตาลได้

3. ผลไม้แช่เย็น กับโยเกิร์ต

ผลไม้มีสารอาหารหลายชนิด ส่วนโยเกิร์ตก็มีแคลเซียมสามารถรักษากรดในกระเพาะอาหารได้

4. แตงโม +Mojito+ สลัด

อาหารเหล่านี้จะช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้ แต่อย่าลืมทานคาโบไฮเดรตเสริมด้วย

5. ซุปมะนาวกับเนื้อไก่

อาหารสูตรนี้มีส่วนผสมหลักคือ น้ำสต๊อก เนื้อไก่ ไข่ มะนาวและข้าว ซึ่งสูตรนี้จะอ่อนโยนต่อกระเพาะอาหาร

6. ผลไม้หรือบิสกิตจิ้มเนยถั่วลิง ผสมโยเกิร์ต 

สูตรนี้รับประทานง่ายและเป็นขวัญใจของคุณแม่ตั้งครรภ์เพราะอร่อยและมีโปรตีนสูง

7. น้ำมันมะพร้าว +กล้วย +สมูทตี้

ในสูตรนี้จะอุดมไปด้วย โพแทสเซียม โซเดียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัสและแคลเซียม อาการแพ้ท้องจะทำให้เราสูญเสียน้ำในร่างกาย สูตรนี้จะช่วยให้รู้สึกสดชื่นขึ้น

8. กล้วย+ข้าวโอ๊ต+ Muffins

สูตรนี้ใช้เวลาไม่มากในการทำ และกินง่าย สบายท้องแถมยังช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

9. ลูกอมมะนาวหรือขิง

 ทั้งขิงและมะนาวเป็นยาแก้อาการคลื่นไส้ที่ดีลองรับประทาน 2 ชิ้น ทุก 2-4 ชั่วโมงก็จะช่วยบรรเทาอาการได้ดี

10. ถั่วผัด

ถั่วเต็มไปด้วยโปรตีนและสารอาหารสำคัญที่ร่างกายต้องการ แถมอ่อนโยนไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร ให้คุณอิ่มสบายท้องท้อง

11. อะโวคาโด้ + ส้ม +ข้าวโอ๊ต

สูตรนี้เป็นอาหารที่สบายท้องแต่เต็มไปด้วยคุณค่าและสารอาหารที่เหมาะสม และช่วยลดอาการคลื่นไส้ได้

12. แอปเปิ้ล+กล้วย+ไข่

สูตรอาหารเช้าสูตรนี้ก็เป็นของหาง่ายในครัวเรือน แถมยังอิ่ม สบายท้องไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารแถมยังได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ

13. กล้วย+ไข่+น้ำส้ม

สูตรนี้รับประทานง่ายกล้วยมีโพแทสเซียมสูง ไข่อุดมไปด้วยโปรตีน น้ำส้มมีวิติมนซี จะช่วยให้รู้สึกสดชื่น สบายท้อง

14. ชีสย่างหวานและเผ็ด

 สูตรนี้เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีอาการคลื่นไส้จากอาหารรสเปรี้ยว สูตรนี้เพียงเพิ่มแอปเปิลลงไปอีกนิดก็สบายท้องและลดอาการคลื่นไส้ลงได้

เมื่อคุณรู้สึกคลื่นไส้สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคืออาหาร เพราะหลายคนเมื่อกินอาหารเข้าไปก็มักจะอาเจียนออกมาทำให้กลัวการกินอาหาร แต่การไม่กินอาหารร่ากายก็จะไม่แข็งแรงและส่งผลเสียต่อเด็กในท้อง ดังนั้นสูตรอาหารข้างต้นจะช่วยอุดช่องว่างระหว่างการรับประทานอาหารกับการคลื่นไส้อาเจียนได้

ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร

ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร

ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร
ลูกดื้อและชอบโกหกพ่อแม่ควรทำอย่างไร

พ่อแม่ยุคใหม่อาจจะวิตกกังวลเกี่ยวกับการที่ลูกเป็นเด็กดื้อหรือชอบโกหกบ่อยๆ เพราะนิสัยเหล่านี้หากไม่ถูกปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น วันข้างหน้าอาจส่งผลเสียต่อตัวของลูกรักอย่างแน่นอน ดังนั้นหากผู้ปกครองที่มีลูกหลานดื้อหรือชอบโกหกบ่อยๆ เรามีหนทางออกดังนั้น

1.พูดคุยดีๆและใจเย็นๆ

เชื่อไหมคะว่า การที่เด็กๆ ชอบดื้อ หรือโกหกบ่อยๆนั้น มันมีสาเหตุ ซึ่งสาเหตุหลักๆที่ทำให้เด็กต้องเป็นอย่างนั้นก็คือ พฤติกรรมของผู้ปกครองที่ปฏิบัติต่อเขา เด็กหลายคนดื้อเพราะผู้ปกครองชอบด่าลูกโดยที่ไม่ถามเหตุผลของพวกเขาก่อน ส่วนเด็กที่ชอบโกหกนั่นเพราะผู้ปกครองลงโทษเขาแรงเกินไปอย่างไม่สมเหตุสมผล

คนเราไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ต่างก็ต้องการปกป้องตัวเองด้วยกันทั้งนั้น หากเราประเมินแล้วว่าพูดความจริงไปแล้วเราต้องถูกทำโทษ พวกเขาก็มักจะโกหกเพื่อความปลอดภัยของตนเอง แต่สำหรับเด็กที่โกหกได้อย่างหน้าตาย นั่นก็แปลได้ว่า พวกเขากดดันและเจอเรื่องที่เลวร้ายจากผู้ปกครองมาพอสมควร ซึ่งหนทางแก้ไขในเรื่องนี้ ผู้ปกครองต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ค่อยๆพูดค่อยๆสอนเด็ก หากต้องลงโทษควรลงโทษโดยการตัดเวลาหรือตัดกิจกรรมบางอย่างที่เด็กๆชอบแทนการตีหรือด่าแรงๆ แล้วสอนถึงโทษของการโกหกจะช่วยปรับและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเด็กให้ดีขึ้นได้

2.สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก หรือหมั่นทำกิจกรรมดีๆร่วมกัน

เพื่อให้เด็กคุ้นเคยและมั่นใจในความรักและความหวังดีจากผู้ปกครอง หากเวลาลูกทำผิด ควรใช้การสอนให้ลูกแก้ไขให้ถูกต้อง หลีกเลี่ยงการตีหรือด่าอย่างรุนแรงเพราะจะทำให้เด็กกลัวและแสดงออกมาด้วยการดื้อหรือโกหกมาขึ้นไปอีก

3.ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี

ส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่หรือคนเลี้ยงดูเป็นยังไง เด็กก็จะเป็นแบบนั้น หากลูกดื้อและชอบโกหก นั่นอาจหมายถึง ผู้ปกครองอาจเคยกระทำหรือแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นให้เด็กได้เห็น และเด็กๆเมื่อเห็นบ่อยๆก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นลองสังเกตพฤติกรรมของตนเอง คนในครอบครัวและลูกของคุณดูว่าเป็นยังไง หากพ่อแม่ไม่เคยทำเรื่องโกหกให้ลูกเห็นก็ต้องดูว่าคนอื่นๆทำหรือไม่ หากพบว่ามีใครทำ ก็พูดคุยและช่วยกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสียใหม่ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับลูกหลานค่ะ

เด็กที่ดื้อหรือโกหกบ่อยๆ หากผู้ปกครองเอาใจใส่ในปัญหาที่ลูกมีและช่วยกันแก้ไขอย่างจริงจัง ก็จะช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเด็กให้ดีขึ้นได้ อย่าลืมนะคะว่า เด็ก หากยังเล็กสามารถสอนหรือปรับได้ง่าย แต่หากโตขึ้นไปเท่าไรมันจะแก้ยากขึ้นเท่านั้น ทางที่ดีผู้ปกครองหากพบว่าบุตรหลานมีพฤติกรรมเหล่านี้ควรรีบหาทางแก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆค่ะ