5 สิ่งที่เด็กผู้หญิงต้องรู้ระหว่างมีประจำเดือน

5 สิ่งที่เด็กผู้หญิงต้องรู้ระหว่างมีประจำเดือน

การมีประจำเดือนครั้งแรกในเด็กหญิงที่กำลังจะก้าวเข้าสู่วัยรุ่นนั้นคงจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าหนักใจมาก เด็กบางคนก็ไม่กล้าที่จะบอกผู้ปกครองและนั่นอาจจะทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความกังวลใจและปัญหาบางอย่างด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้องและอาจเป็นผลให้พวกเขาอายยิ่งกว่าเดิมหรืออาจมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพบางอย่าง แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ หลังจากที่น้องๆได้อ่านบทความนี้น้องๆจะสามารถรับมือกับวันนั้นของเดือนได้อย่างถูกต้อง

1.จะบอกพ่อแม่ว่ามีประจำเดือนครั้งแรกอย่างไร

เด็กผู้หญิงในวัยนี้บางคนก็รู้สึกเขินอาย ยิ่งเด็กที่อาศัยอยู่กับคุณพ่อเพียงแค่สองคนก็คงจะอายมากกว่าปกติเพราะถึงจะเป็นคุณพ่อ แต่คุณพ่อก็เป็นเพศตรงข้าม ซึ่งหากน้องๆรู้สึกเขินอายและไม่กล้าบอกก็อาจจะต้องพูดคุยกับเพื่อนหรือหาข้อมูลการปฏิบัติตัวที่สอนกันในอินเทอร์เน็ตแทนได้ แต่ยังไงเสียก็ควรรวบรวมความกล้าบอกพ่อแม่ไปดีกว่า ว่าหนูมีประจำเดือนเพราะจะช่วยหาวิธีรับมือและดูแลตัวเองที่ถูกต้องค่ะ

2.ผ้าอนามัยมีกี่ชนิดและเลือกชนิดที่เหมาะสม

ผ้าอนามัยในท้องตลาดมีหลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นผ้าอนามัยแบบแผ่น ผ้าอนามัยแบบสอด  ผ้าอนามัยแบบถ้วย หรืผ้าอนามัยแบบกางเกง ซึ่งผ้าอนามัยที่เป็นที่นิยมมากที่สุดคือ ผ้าอนามัยแบบแผ่นซึ่งก็มีออกมาอีกหลายรูปแบบ เช่น แบบมีปีก แบบไม่มีปีก แบบกลางวัน หรือแบบกลางคืน  หากประจำเดือนมามากและต้องขยับบ่อยๆ ก็ควรเลือกผ้าอนามัยแบบมีปีก แต่หากประจำเดือนมาไม่เยอะ และไม่ค่อยได้ขยับ บวกกับไม่ชอบระคายเคืองขาหนีบก็เลือกผ้าอนามัยแบบไม่มีปีก ส่วนเวลากลางคืนก็ใส่ผ้าอนามัยแบบกลางคืนเพราะจะช่วยป้องกันเลือดประจำเดือนไม่ให้ไหลผ่านร่องก้นออกมาเลอะได้

3.เวลามีประจำเดือนแล้วอยากว่ายน้ำต้องทำยังไง

บางครั้งประจำเดือนก็มาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก เช่น เรียนว่ายน้ำ ลงแข่งว่ายน้ำหรือแม้แต่ครอบครัวพาไปเที่ยวทะเลช่วงเวลานั้นพอดี เด็กกับน้ำคงเป็นอะไรที่ดึงดูดกันไม่น้อย ซึ่งปัญหานี้แก้ไขได้ค่ะ คือ การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดแทนในช่วงที่เราต้องลงว่ายน้ำนั่นแหละ

4.ถ้าประจำเดือนมาตอนอยู่ที่โรงเรียนแบบกะทันหันต้องทำอย่างไร

เด็กหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ๆ บางครั้งพวกเขายังไม่ทันตั้งตัวหรือเด็กบางคนก็เคยมีประจำเดือนแล้ว แต่ก็ไม่รู้วันที่จะมาแน่นอนจึงไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยไปด้วย ดังนั้นเมื่อเวลามีประจำเดือนมาแบบกะทันหันที่โรงเรียนแล้วไม่ได้เตรียมผ้าอนามัยไปด้วย วิธีที่จะทำได้คือ ไปซื้อผ้าอนามัยมาใส่ เพราะโรงเรียนทุกแห่งต้องมีร้านค้าขายของพวกนี้อยู่แล้ว หรือหากไม่สามารถไปซื้อได้ ก็อาจจะถามเพื่อนดุว่าใครพอจะมีให้ยืมไหม หรือหากเพื่อนไม่มี หนทางสุดท้ายคือไปบอกคุณครูประจำชั้นซึ่งคุณครูก็จะได้หาทางช่วยต่อไป

5.ถ้ามีเลือดไหลเปรอะที่กระโปรงหรือกางเกงล่ะจะทำยังไง

ในกรณีที่อยู่โรงเรียนแล้วประจำเดือนเปรอะเปื้อนก็ต้องเข้าห้องน้ำแล้วใช้น้ำขยี้คราบออก ซึ่งบางครั้งการที่ประจำเดือนเลอะออกมานั่นหมายความว่า ผ้าอนามัยน่าจะซับเลือดเต็มที่แล้ว น้องๆก็เข้าไปเปลี่ยนผ้าอนามัยและขยี้คราบเลือดที่เปื้อนออก แต่หากเลือดเปรอะตอนอยู่ที่บ้าน ก็เปลี่ยนผ้าอนามัย เปลี่ยนกางเกงแล้วน้ำกางเกงที่เลอะไปซักค่ะ หากกางเกงเลอะใหม่ๆ ควรรีบซักออกนะคะ เพราะคราบเลือดหากรอจนแห้งจะทำให้ซักออกยากมากกว่าเดิมค่ะ

เด็กสาวที่เริ่มย่างเช้าสู่วัยรุ่นบางคนก็เป็นกังวลเกี่ยวกับประจำเดือนมาก ยิ่งหากมีประจำเดือนในช่วงที่ต้องไปโรงเรียนด้วยแล้วก็ยิ่งกังวลใจมากกว่าเดิม ดังนั้นน้องๆที่เริ่มมีประจำเดือนใหม่ต้องเรียนรู้วิธีการแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นให้ดีนะคะ ไม่อย่างนั้นหากประจำเดือนเลอะออกมาอาจจะทำให้น้องๆอายเพื่อนมากไปกว่าเดิมนะ และหากใครที่มีปัญหาช่องคลอดมีกลิ่นหมักหมม ให้เจลทำความสะอาดช่องคลอด GYNOGENA Feminine Hygienic Gel ช่วยสิคะ แล้วความกังวลเรื่องกลิ่นของช่องคลอดจะหมดไป

เจลอนามัยสูตรเย็น หอมสดชื่น พร้อมฟองนุ่มละเอียดที่ช่วยทำความสะอาดได้อย่างหมดจด ไม่มีส่วนผสมของสบู่ (Soap-Free Formula) ช่วยคงสภาวะสมดุลกรดอ่อนๆตามธรรมชาติ(pH Balance) กลิ่นหอมสดชื่น ช่วยลดกลิ่นอับชื้น ปลอดภัยต่อจุดซ่อนเร้น เพิ่มความมั่นใจได้ในทุกวัน ปริมาณ : 190 มิลลิลิตร

วิธีใช้ : เทลงบนฝ่ามือ ลูบไล้ให้เกิดฟองเพื่อทำความสะอาดจุดซ่อนเร้น แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ใช้เฉพาะภายนอกเท่านั้น

สนใจสั่งซื้อได้ที่ >> GYNOGENA Feminine Hygienic Gel. เจลล้างช่องคลอด เจลอนามัยสตรี จุดซ่อนเร้น สตรี

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนานๆเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจริงหรือไม่

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนานๆเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจริงหรือไม่

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนานๆเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งจริงหรือไม่

การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ถือเป็นหนึ่งในวิธีคุมกำเนิดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากพอๆกับวิธีการคุมกำเนิดแบบอื่นๆ แต่การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนานๆนั้นคุณผู้หญิงหลายคนก็กลัวว่ามันจะเกิดผลข้างเคียงหรืออันตรายใดๆหรือเปล่า และที่สำคัญยังเคยได้ยินข่าวมาว่า หากกินยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานๆนั้นยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอีกด้วย เรื่องราวจะเป็นยังไง วันนี้พี่ฮุกจะมาเล่าเรื่องของการกินยาคุมให้ได้ฟังกันค่ะ

ยาเม็ดคุมกำเนิด คืออะไร

ยาเม็ดคุมกำเนิด คือ ยาที่มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กบรรจุในแผง มีทั้งแบบ 21 เม็ดและแบบ 28 เม็ด การใช้ยานี้คือ ต้องรับประทานวันละเม็ดติดต่อกันจนครบแผงเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ เนื่องจากในตัวยาจะมีฮอร์โมนที่จะช่วยยับยั้งการตกไข่และป้องกันสเปิร์มที่เดินทางผ่านปากมดลูกเข้ามา

ยาเม็ดคุมกำเนิดกับความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

เกือบจะทุกงานวิจัยที่เชื่อมโยงระหว่างยาเม็ดคุมกำเนิดและความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในผู้หญิง เช่น มะเร็งเต้านมและ มะเร็งปากมดลูก ซึ่งมะเร็งจะเพิ่มขึ้นในผู้หญิงที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด  ซึ่งในขณะเดียวกัน โรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งรังไข่หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่จะลดลงเมื่อผู้หญิงใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด โดยอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเหล่านี้พี่ฮูกขอสรุปคร่าวๆ เช่น

มะเร็งเต้านม

มีการวิเคราะห์ข้อมูลจากผู้หญิง150000 คนพบว่า ผู้หญิงที่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดมีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมเพิ่มขึ้นถึง 24% เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

ส่วนเรื่องของมะเร็งปากมดลูกนั้นพบว่า

ผู้หญิงที่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นเวลา 5 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งปากมดลูกมากกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และยิ่งถ้าใช้ติดต่อกันนานมากเท่าไร ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น ซึ่งจากการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้หญิงที่ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดน้อยกว่า 5 ปี จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น 10 % แต่ถ้าใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดประมาณ 5-9 ปีความเสี่ยงก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% และความเสี่ยงนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า เมื่อใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดนาน 10 ปีขึ้นไป แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเหล่านี้ก็พบว่า ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกลดลงเมื่อผู้หญิงเลิกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

สำหรับโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

พบว่า ผู้หญิงที่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งในเยื่อบุโพรงมดลูกน้อยลงถึง 30 % เมื่อเทียบกับผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด และความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ก็ลดลงเรื่อยๆเมื่อใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดนานขึ้น

สำหรับโรคมะเร็งรังไข่

พบว่าผู้หญิงที่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดนั้น มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่ต่ำกว่าผู้หญิงที่ไม่เคยใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดถึง 30-50%  และนอกจากนี้หญิงที่รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนั้น ยังสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ถึง 15-20 % อีกด้วยค่ะ

ทำไมการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดถึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง?

ฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาและการเติบโตของมะเร็งบางชนิด ซึ่งมะเร็งที่จะกระทบต่อฮอร์โมน 2 ตัวนี้มากที่สุดก็คือ มะเร็งเต้านม รองลงมาก็คือโรคมะเร็งปากมดลูก และยาเม็ดคุมกำเนิดนั้นก็จะมีฮอร์โมนสังเคราะห์ของเพศหญิง จึงทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งทั้ง 2 ชนิดนี้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ก็ใช่ว่าจะเสียงต่อการเป็นมะเร็งเสมอไป เนื่องจาก การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนั้นยังสามารถช่วยในเรื่องของมะเร็งบางชนิด ได้แก่

1.ช่วยระงับการแพร่กระจายของเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูก ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

2.ลดจำนวนการตกไข่และยังช่วยลดการสัมผัสกับฮอร์โมนเพศหญิงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ที่เป็นความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่

3.ลดระดับของกรดน้ำดีในเลือด ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งทวารหนักได้

จึงสามารถสรุปได้ว่า การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนั้น เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูก แต่ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคมะเร็งทวารหนักได้ค่ะ

การคุมกำเนิดประเภทใด มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การคุมกำเนิดประเภทใด มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การคุมกำเนิดประเภทใด มีประสิทธิภาพมากที่สุด

การคุมกำเนิดเป็นหนทางป้องกันที่ดีที่สุด สำหรับการวางแผนชีวิตและ sex ที่ไม่พร้อมนะคะ ประชาชนยุคใหม่ ควรคำนึงถึงความพร้อมหลายๆอย่างก่อน ที่จะตัดสินใจรับผิดชอบชีวิตของใครอีกคน ไม่ใช่แค่ว่า มีไปก่อนแล้วค่อยหาหนทางเลี้ยงต่อไป ซึ่งแนวคิดแบบนี้พี่ฮูกคิดว่า มันค่อนข้างจะล้าหลังไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กหรือวัยรุ่นที่ยังเรียนไม่จบและยังไม่มีความพร้อมในการจะสร้างครอบครัว ต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม เช่น มีเพศสัมพันธ์ต้องป้องกันเอาไว้ก่อน และวันนี้พี่ฮูกจะมาแจกแจงให้ฟังว่า การคุมกำเนิดประเภทใด มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อเป็นข้อมูลที่ดีในการตัดสินใจกันค่ะ

1.การใส่ห่วงอนามัย                  

การใส่ห่วงอนามัยหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การใส่ห่วงคุมกำเนิดถือเป็นการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงถึง 99 เปอร์เซนต์  ซึ่งจะเป็นการใส่อุปกรณ์พลาสติกชิ้นเล็กหน้าตาคล้ายๆรูปตัวทีสอดใส่เข้าไปในโพรงมดลูก  โดยห่วงอนามัยนี้มี 2 ประเภทด้วยกันคือ ประเภทที่ 1 ห่วงคุมกำเนิดที่เคลือบด้วยสารทองแดงธรรมชาติ โดยการใส่ห่วงชนิดนี้จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้นานถึง 10 ปี และประเภทที่ 2 คือ ห่วงคุมกำเนิดที่เคลือบด้วยฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ซึ่งการใส่ห่วงชนิดนี้จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 3-5 ปีขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่เลือกใช้ โดยค่าใช้จ่ายในการใส่ห่วงคุมกำเนิด 1 ครั้งจะอยู่ที่ 12,000 – 25,000 บาท

2.การฝังยาคุมกำเนิด

อุปกรณ์ในการฝังยาคุมกำเนิดจะมีลักษณะเป็นก้านอ่อนๆ ซึ่งแพทย์จะใส่เอาไว้ที่ใต้ผิวหนังบริเวณด้านในของต้นแขน เมื่อฝังไปแล้วตัวยาจะค่อยๆปล่อยฮอร์โมนสำหรับป้องกันการตั้งครรภ์ออกมา ซึ่งการฝังยาคุมกำเนิดนี้มีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์และการฝัง 1 ครั้งสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี แล้วแต่ชนิดของยา ค่าใช้จ่ายในการฝังยาคุมกำเนิดถ้าเป็นโรงพยาบาลของรัฐจะอยู่ที่ 2,500-4,000 บาท แต่ถ้าเป็นของโรงพยาบาลเอกชน จะอยู่ที่  5,000-7,000 บาท แต่สำหรับเด็กหญิงที่มีอายุต่ำกว่า 20ปี สามารถรับการฝังฟรีได้ที่โรงพยาบาลของรัฐ

3.การฉีดยาคุมกำเนิด

การฉีดยาคุมกำเนิดนั้นเป็นการคุมกำเนิดในระยะสั้น แต่จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ถึง 99 เปอร์เซ็นต์หากปฏิบัติตามกำหนดอย่างเคร่งครัดนั่นคือจะต้องเริ่มฉีดยาภายใน 5 วันแรกของการมีประจำเดือนและเมื่อถึงกำหนดฉีดยาเข็มต่อไปก็ไปฉีดให้ตรงตามที่หมอนัด  แต่หากลืมเวลานัดหรือเลยเวลานัดออกไปก็อาจจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันลดลงเหลือ 94 เปอร์เซ็นต์  ยาคุมกำเนิดในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบ 1 เดือน กับแบบ 3 เดือน ค่าใช้จ่ายในการฉีดยาคุมกำเนิดแบบ 1 เดือนจะอยู่ราวๆ250-300 บาท แต่ยาคุมกำเนิดแบบ 3 เดือนจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 80-100 บาท

น้องสาวมีกลิ่นคลิกเลย

4.การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด

ยาเม็ดคุมกำเนิดในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบนั่นคือ ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบ 21 เม็ดและ 28เม็ด แบบ 21 เม็ดคือรับประทานจนครบแล้วหยุดรับประทาน 7 วันแล้วค่อยเริ่มรับประทานแผงใหม่ ส่าวนแบบ 28 เม็ดคือ รับประทานแผงใหม่ต่อจากแผงเก่าไปได้เลยโดยที่ไม่ต้องหยุดรับประทาน ซึ่งการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดนี้ หากรับประทานติดต่อกันเป็นประจำอย่างเคร่งครัด ก็จะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดถึง 99 เปอร์เซ็นต์ แต่หากลืมกินบ้างประสิทธิภาพก็จะลดลงเหลือ 91 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายในการกินยาเม็ดคุมกำเนิดจะมีตั้งแต่ 25 บาทไปจนถึงแผงละ 500 บาทตามยี่ห้อของยาแต่ละชนิด

5.แผ่นแปะคุมกำเนิด

แผ่นแปะคุมกำเนิดนี้จะมีลักษณะเป็นแผ่นกาวสี่เหลี่ยมใช้แปะแถวๆบริเวณท้องน้อย ก้น ต้นแขนหรือลำตัวส่วนบน ซึ่งจะแปะตั้งแต่วันแรกของการมีประจำเดือนแล้วเปลี่ยนแผ่นแปะทุกๆสัปดาห์โดย 1 เดือนจะเปลี่ยนแผ่นแปะ 3 ครั้ง ส่วนสัปดาห์ที่ 4 จะไม่ต้องแปะแผ่นเพราะจะเป็นช่วงที่มีประจำเดือนพอดี ทั้งนี้การคุมกำเนิดด้วยการใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดในระยะ 7 วันแรก หากต้องการมีเพศสัมพันธ์ควรป้องกันด้วยวิธีอื่นด้วยเพื่อความชัวร์ การคุมกำเนิดด้วยการใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดนี้จะสามารถคุมกำเนิดได้ 99 เปอร์เซ็นต์แต่หากลืมเปลี่ยนแผ่นแปะตามกำหนดเวลา ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะลดลงเหลืออยู่ที่ 91 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายในการใช้แผ่นแปะคุมกำเนิดจะอยู่ที่  400-500 บาทโดยประมาณ

6.การใส่วงเหวนคุมกำเนิด

วงแหวนคุมกำเนิดจะมีลักษณะเป็นวงแหวนพลาสติกมีความนุ่มและยืดหยุ่นได้ โดยจะใส่เข้าไปในช่องคลอดคล้ายๆกับการเหน็บยา ซึ่งยาในวงแหวนจะออกฤทธิ์นาน 3 สัปดาห์ จากนั้นถอดออก 1 สัปดาห์เพราะจะตรงกับประจำเดือนมาพอดี และจะใส่วงแหวนอันใหม่ในตอนท้ายของสัปดาห์ที่ 4 ซึ่งประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะอยู่ที่ 99 เปอร์เซ็นต์ แต่หากลืมหรือไม่ใส่ให้ตรงตามกำหนดเวลาประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะเหลืออยู่ที่ 91 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายในการใส่วงแหวนคุมกำเนิด ต่อ1 อันจะอยู่ที่ 900 – 2,500 บาท

7.การใช้ถุงยางอนามัย

การคุมกำเนิดประเภทนี้จะมีอยู่ 2 แบบ นั่นก็คือเป็นการใช้ในฝ่ายชาย โดยจะใช้ถุงยางอนามัยสวมเข้าที่อวัยวะเพศก่อนการมี SEX ซึ่งประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 98 เปอร์เซ็นต์ อีกแบบหนึ่งก็คือถุงยางอนามัยที่ฝ่ายหญิงต้องเป็นคนใส่ โดยถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงนี้ จะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการตั้งครรภ์อยู่ที่ 95 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายในการคุมกำเนิดด้วยถุงยาอนามัยของผู้ชายจะอยู่ที่ 15-30 บาทต่อ 1 ชิ้น ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับถุงยางอนามัยของผู้หญิงจะอยู่ที่ชิ้นละ 150 บาทโดยประมาณ

8.การใช้ยาคุมฉุกเฉิน

ยาคุมฉุกเฉินจะเป็นการใช้คุมกำเนิดแบบที่มีการผิดพลาดจากการใช้การคุมกำเนิดวิธีอื่นๆ เช่น ถุงยางอนามัยฉีกขาด หรือลืมรับประทานยาคุมกำเนิดแบบเม็ดติดต่อกันเกิน 2 วัน รวมไปถึงการถูกข่มขืน โดยยาคุมกำเนิดฉุกเฉินจะมีอยู่ 2 แบบ คือยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบเม็ดเดียวซึ่งต้องรับประทานทันทีหลังจากมีเพศสัมพันธ์เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากเลยระยะเวลา 72 ชั่วโมงไปแล้ว โอกาสพลาดก็จะสูงมาก และยาคุมกำเนิดฉุกเฉินแบบ 2 เม็ด ซึ่งจะต้องรับประทานเม็ดแรกทันทีหลังจากมี sex หรือไม่เกิน 72 ชั่วโมง และรับประทานเม็ดที่ 2 ต่อจากเม็ดแรก 12 ชั่วโมง ซึ่งการคุมกำเนิดชนิดนี้หากรับประทานถูกต้องจะมีประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดอยู่ที่ 75-85 เปอร์เซ็นต์ ค่าใช้จ่ายในการใช้ยาคุมฉุกเฉินจะอยู่ที่ 50-70 บาท ต่อแผง

นอกจาก 8 วิธีที่พี่ฮุกบอกไปนี้ หลายคนยังมีวิธีคุมกำเนิดอีก 3 ประเภท ได้แก่ การหลั่งภายนอก การนับหน้า 7 หลัง 7 รวมไปถึงการใช้ครีมหรือโฟมที่มีฤทธิ์ฆ่าอสุจิ แต่การคุมกำเนิดทั้ง 3 แบบนี้มีความเสี่ยงค่อนข้างสูงจึงไม่อยากแนะนำเท่าไร ซึ่งใครจะใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบไหนลองศึกษาข้อมูล รวมถึงผลข้างเคียงต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นด้วยเพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดที่ดีที่สุดค่ะ

ความลับของน้องสาว 3 ข้อที่ผู้หญิงควรรู้

ความลับของน้องสาว 3 ข้อที่ผู้หญิงควรรู้

เนื่องจากเรื่องของน้องสาวหรือจุดซ่อนเร้นนั้น ยังคงเป็นเรื่องที่น่าอาย ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่จึงมักได้รับข้อมูลข่าวสารผิดๆเกี่ยวกับน้องสาว ซึ่งการจำกัดในเรื่องของข้อมูลที่ถูกต้องนี้เอง ทำให้หลายคนกระทำการแปลกๆกับน้องสาว จนกลายมาเป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงได้  ดังนั้นพี่ฮูกเองทำช่องนี้ขึ้นมาก็เพื่ออยากเป็นกระบอกเสียง ให้ผู้หญิงหลายๆคนได้มีข้อมูลในการดุแลสุขภาพของน้องสาวอย่างถูกต้อง และวันนี้พี่ฮูกก็มี ความลับ 3 ข้อของน้องสาวมาบอกคุณผู้หญิงทุกคน เพื่อให้พวกเราได้เข้าใจน้องสาวของเรามากยิ่งขึ้นค่ะ

1.ช่องคลอดสามารถทำความสะอาดตัวเองได้

หลายปีที่ผ่านมา ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะกังวลเกี่ยวกับกลิ่นของน้องสาว ทำให้พวกเธอพยายามล้างทำความสะอาดบ่อยๆ รวมไปถึงบางรายมีการฉีดน้ำหอมหรือสเปรย์ดับกลิ่นใส่น้องสาว เพื่อหวังว่าจะสามารถเนรมิตกลิ่นหอมๆให้กับน้องสาวได้  โดยที่พวกเธอเหล่านั้นไม่รู้เลยว่า การกระทำเหล่านั้นแหละที่จะเป็นตัวทำให้น้องสาวมีกลิ่นที่รุนแรงมากกว่าเดิม และของแถมต่อมาที่จะได้ก็คือ อาการคัน ระคายเคือง รวมไปถึงปัญหาสุขภาพอีกหลายอย่างที่จะตามมา พี่ฮูกอยากจะบอกให้คุณผู้หญิงเข้าใจว่า กลิ่นของน้องสาวนั้นไม่ได้น่ากังวลขนาดนั้น หากเราดูแลความสะอาดอย่างถูกวิธี เช่น ใช้น้ำเปล่าหรือสบู่อ่อนๆ ล้างทำความสะอาดแค่ภายนอก วันละครั้งตอนอาบน้ำ จากนั้นใช้ผ้าสะอาดซับให้แห้ง  สวมใส่กางเกงในหรือกางเกงที่ระบายอากาศได้ดี รวมไปถึงรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพียงเท่านี้ สุขภาพของน้องสาวก็ไม่น่าเป็นห่วงแล้ว  อีกอย่างภายในช่องคลอดนั้นเราไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำความสะอาด หรือฉีดน้ำหอมอะไรมากมาย เพราะระบบของร่างกายเรานั้นเป็นอะไรที่ล้ำลึกมาก ซึ่งเซลล์ภายในช่องคลอดตัวใหม่จะถูกแทนที่ทุก 96 ชั่วโมง ซึ่งเป็นอัตราการหมุนเวียนที่เร็วกว่าส่วนอื่นๆของร่างกายมาก เราแทบไม่ต้องกังวลอะไรแค่ดุแลรักษาให้ถูกวิธีก็เพียงพอแล้วค่ะ

2.ขนหมออ้อย มีข้อดีนะ

ปัจจุบันมีหลายคนไม่ถูกใจขนหมออ้อย จนแว็กซ์หรือโกนทิ้งกันไป แต่หารู้ไม่ว่า การที่เราโกนขนเหล่านั้นทิ้งนั้น อาจทำให้เกิดบาดแผลหรือการบาดเจ็บของบริเวณผิวหนัง และทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้  จริงๆแล้ว ขนหมออ้อยก็ไม่ได้สร้างความน่ารำคาญมากมายนัก อีกทั้งเจ้าขนเหล่านี้ยังทำหน้าที่ปกป้องผิวหนังและลดการเสียดสีของน้องสาวจากเสื้อผ้าและอิริยาบถต่างๆในชีวิตประจำวันของเรา

3.ในน้องสาวมีองค์รักษ์พิทักษ์ความอุดมสมบูรณ์

องค์รักษ์ที่พี่ฮูกพูดถึงนี้ก็คือเหล่าแบคทีเรียเจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่ในช่องคลอดของเรานั่นเองค่ะ เจ้าแบคทีเรียเหล่านี้จะทำหน้าที่ปกปักษ์รักษาความสมดุลของช่องคลอดให้อยู่ในระดับปกติ ผลิตสารที่สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดเล็กน้อยเพื่อยับยั้งแบคทีเรียที่ไม่ดีจากภายนอกที่อาจเข้ามาก่อความรำคาญและก่ออันตรายกับช่องคลอด รวมถึงสร้างเมือกที่ช่วยปกป้องและหล่อลื่นทุกอย่าง ซึ่งการล้างทำความสะอาดด้วยสบู่หรือสารเคมีรุนแรง รวมถึงน้ำหอม สเปรย์หรืออะไรต่างๆนานา เหล่านั้น จะเป็นตัวทำลายแบคทีเรียเจ้าถิ่นเหล่านี้ให้อ่อนแอลง และเมื่อแบคทีเรียดีอ่อนแอลง ช่องคลอดก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วยได้ง่ายนั่นเองค่ะ

ช่องคลอดของผู้หญิงเรานั้นเป็นอวัยวะหนึ่งที่มีความล้ำลึก บางครั้งความกังวลและข้อมูลผิดๆบางอย่างก็อาจจะนำมาซึ่งอันตรายต่อสุขภาพของเรา การจะเชื่ออะไรๆต่างๆ ควรหาข้อมูลให้ถี่ถ้วนเสียก่อนจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของข้อมูลข่าวสารปลอมๆที่อาจจะส่งผลร้ายแรงต่อตัวเราเองนะคะ แต่หากใครกลัวน้องสาวมีกลิ่น คลิกที่รุปได้เลยค่า

วิธีใส่ผ้าอนามัยสำหรับสาวน้อยที่มีประจำเดือนครั้งแรก

วิธีใส่ผ้าอนามัยสำหรับสาวน้อยที่มีประจำเดือนครั้งแรก

วิธีใส่ผ้าอนามัยสำหรับสาวน้อยที่มีประจำเดือนครั้งแรก

เด็กผู้หญิงที่มีอายุราวๆ 8-15 ปี บางรายก็มีประจำเดือนแล้วนะคะ สำหรับลูกสาวที่มีคุณแม่อยู่ด้วยก็คงจะไม่เป็นปัญหามากเท่าไร เพราะยังไงคุณแม่ก็ช่วยสอนให้ได้ แต่สำหรับคุณพ่อเลี้ยงเดียวที่อยู่กับลูกสาว และลูกสาวย่างเข้าวัยมีประจำเดือน ก็จะมีความกังวลว่าจะสอนลูกยังไงดี กลัวลูกอายด้วย หรือบางที คุณพ่อที่ไม่เคยใช้ผ้าอนามัยเลยด้วยก็อาจจะสอนลูกสาวได้ไม่เต็มที่ ซึ่งวันนี้พี่ฮูกจะมาสอนวิธีใส่ผ้าอนามัยที่ถูกต้องพร้อมวิธีเลือกผ้าอนามัยให้เหมาะสมด้วยค่ะ

ส่วนใครกังวลเรื่องน้องสาวมีกลิ่น คลิกที่รูปเลยจ้า

7 เรื่องไม่ลับ ที่น้องสาวอยากบอก

7 เรื่องไม่ลับ ที่น้องสาวอยากบอก

7 เรื่องไม่ลับ ที่น้องสาวอยากบอก

ช่องคลอดเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายและมีความสำคัญเหมือนส่วนอื่นๆ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ค่อยใส่ใจหรือมีความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับช่องคลอด และด้วยความที่คนไทยเราจะมีความเหนียมอายอยู่เป็นทุนเดิม การพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของช่องคลอดเลยไม่ค่อยมี เวลามีปัญหาอะไรก็ไม่ค่อยกล้าถาม จึงทำให้มีความเชื่อและความเข้าใจผิดๆบางอย่างมาโดยตลอด ซึ่งหากเราลองเปิดใจศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง จะเห็นได้ว่ามีจุดเล็กๆหลายจุดที่สำคัญ และวันนี้พี่ฮูกจะพุดถึง เรื่องไม่ลับ 7 ข้อที่น้องสาวอยากบอกกับคุณค่ะ

1.การมีตกขาวไม่ใช่เรื่องแปลก

หลายคนพอได้ยินคำว่าตกขาว ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องที่น่าอายและเป็นอันตราย  แต่แท้ที่จริงแล้วการมีตกขาวนั้น ถือเป็นเรื่องปกติ การจะมีตกขาวมากหรือน้อยก็แปรผันตามการมีรอบเดือน  อีกทั้งตกขาวยังช่วยให้อสุจิเคลื่อนเข้าไปสู่ช่องคลอดและทำการปฏิสนธิได้โดยง่าย ที่สำคัญตกขาวยังสามารถเป็นตัวช่วยบอกถึงสุขภาพของช่องคลอดของคุณตอนนี้ว่าอยู่ในสถานะไหน  เช่น ตกขาวมีสีขาว ไม่มีกลิ่น บ่งบอกว่าร่างกายของคุณเป็นปกติไม่มีอะไรต้องน่าเป็นห่วง แต่หากตกขาวเป็นก้อนคล้ายๆนมบูดและมีกลิ่นเหม็น บ่งบอกถึงช่องคลอดของคุณกำลังติดเชื้อยีสต์ หากตกขาวมีสีเทาและกลิ่นเหม็นคาว บ่งบอกถึงช่องคลอดติดเชื้อแบคทีเรีย และหากตกขาวมีมากกว่าปกติละมีสีเทา สีเหลืองหรือสีเขียวนั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงโรคหนองในหรือการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เป็นต้น

2.ช่องคลอดก็ร่วงโรยไปตามกาลเวลา

ร่างกายของคนเราก็เสื่อมสภาพไปตามอายุ  ซึ่งช่องคลอดเองก็เช่นกัน การจะให้กลับไปฟิตปั๋งเหมือนสมัยยังสาวๆก็ทำได้ค่อนข้างยาก  รวมถึงการตั้งครรภ์ การคลอดบุตร และการใช้ชีวิตประจำวันบางอย่างก็ส่งผลต่อความแข็งแรงของช่องคลอดทั้งสิ้น ไม่แปลกที่ผู้หญิงมีอายุจะมีปัญหาช่องคลอดหลวม ไม่ฟิตปั๋ง ช่องคลอดแห้ง ปวดหลัง ปวดเอว รวมไปถึงความเจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์

3.กรุณาฉี่หลังมีเพศสัมพันธ์

ผู้หญิงเรา ท่อปัสสาวะ ช่องคลอดและทวารหนักจะอยู่ใกล้กันมาก และการมีเพศสัมพันธ์ก็อาจจะทำให้แบคทีเรียที่อยู่แถวๆทวารหนักเข้ามาในกระเพาะปัสสาวะได้ ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การจะป้องกันโรคนี้ให้เบาลงได้นั่นคือหลังมี SEX ควรฉี่ด้วย เพื่อที่จะช่วยชำระล้างแบคทีเรียในท่อปัสสาวะออกไป

4.อย่าฉีดน้ำ น้ำหอม แป้ง หรืออะไรเข้าไปในช่องคลอด

ช่องคลอดของคนเราจะมีแบคทีเรียเจ้าถิ่นที่อาศัยอยู่ เพื่อปรับสมดุลค่า PH ให้อยู่ในระดับปกติ แต่การฉีดน้ำ น้ำหอม แป้งหรือสเปรย์ดับกลิ่นเข้าไปในช่องคลอดนั้น จะทำให้สมดุลของช่องคลอดลดลง และเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เกิดการระคายเคืองและเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

5.หากคุณได้กลิ่นเหมือนตอนที่คุณมี SEX ในเวลาปกติ นั่นอาจเป็นสัญญาณปัญหาสุขภาพ

สารคัดหลั่งในช่องคลอดนั้นมีสภาพเป็นกรด ส่วนน้ำเชื้อของผู้ชายนั้นมีสภาพเป็นด่าง และเมื่อสองสิ่งนี้มารวมตัวกันก็จะทำปฏิกิริยาทางเคมีทำให้มีกลิ่นเมื่อมี SEX  แต่หากหลังจากการมี SEX ไปแล้วพักใหญ่แต่คุณยังได้กลิ่นเหมือนตอนที่กำลังมี SEX นั่นเป็นสัญญาณของความไม่สมดุลในช่องคลอดหรืออาจมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากน้ำอสุจิ

6.งดใช้สารหล่อลื่นแล้วมาให้ความสำคัญกับความพึงพอใจทางเพศบ้าง

ผู้หญิงส่วนใหญ่จะใช้สารหล่อลื่นเพื่อช่วยให้การมี SEX ง่ายยิ่งขึ้น  แต่การศึกษาของมหาวิทยาลัยในอินเดียเปิดเผยว่า การเล้าโลมก่อนการมี SEX นั้นจะทำให้ผู้หญิงอินและรู้สึกสนุกกว่าเมื่อเทียบกับการมี SEX โดยใช้สารหล่อลื่น ดังนั้นลองให้เวลาในการเล้าโลมมากขึ้นก็จะช่วยให้คุณผู้หญิงมีอารมณ์ร่วมมากกว่าการใช้สารหล่อลื่นเพียงอย่างเดียว

7.สวมกางเกงในผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ทำจากธรรมชาติ รวมไปถึงปล่อยให้น้องสาวได้หายใจบ้าง

ช่องคลอดของเราต้องการอากาศบริสุทธิ์บ้างเป็นครั้งคราว การปิดแน่นจะทำให้อากาศไม่ไหลเวียน เกิดความอับชื้นและเสี่ยงต่อการติดเชื้อยีสต์หรือแบคทีเรียได้ ดังนั้นการเลือกกางเกงในที่ระบายอากาศก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น  ที่สำคัญควรจะปล่อยให้ช่องคลอดได้พักมีอากาศหายใจบ้าง เช่น ตอนกลางคืนอาจนอนหลับโดยที่ไม่สวมเสื้อผ้าบ้าง ก็จะช่วยให้ช่องคลอดมีเวลาได้ผ่อนคลาย

ช่องคลอดของเราเราต้องหมั่นดูแลรักษา บางครั้งการปิดกั้นหรือสวมเสื้อผ้าที่ปิดแน่นหรืออับเกินไป ก็อาจจะทำให้ช่องคลอดเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ หากอยากให้ช่องคลอดมีสุขภาพดี อย่าลืมใส่ใจจุดเล็กน้อยเหล่านี้ เพราะจุดเล็กๆ หากละเลยบ่อยๆ อาจจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในวันข้างหน้าได้ค่ะ ส่วนใครเป้นกังวลเรื่องน้องสาวมีกลิ่น คลิกที่รูปได้เลยจ้า

หลั่งภายนอกท้องได้ไหม และตัวอสุจิจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหนเมื่อหลั่งออกมาแล้ว

หลั่งภายนอกท้องได้ไหม และตัวอสุจิจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหนเมื่อหลั่งออกมาแล้ว

หลั่งภายนอกท้องได้ไหม และตัวอสุจิจะสามารถอยู่ได้นานแค่ไหนเมื่อหลั่งออกมาแล้ว

เมื่ออยู่ภายนอกร่างกาย สเปิร์มอาจตายได้อย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับอากาศ ซึ่งระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ของสเปิร์มจะเกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงความแห้งเร็วของตัวสเปิร์มเอง

ส่วนสเปิร์มที่ถูกหลั่งออกมาจะสามารถมีชีวิตอยู่ในมดลูกถึง 5 วันซึ่งนั่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้หากมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่มีการป้องกัน

ถาม-เราจะตั้งครรภ์ได้ไหมหากมีน้ำอสุจิอยู่ใกล้ๆกับช่องคลอด?

ตอบ-จริงๆแล้วเราสามารถตั้งครรภ์ได้หากมีสเปิร์มอยู่ใกล้ๆกับช่องคลอดและสเปิร์มนั้นยังไม่แห้ง หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่า สเปิร์มนั้นจะถูกออกซิเจนในอากาศฆ่าตายเสียก่อน แต่ความจริงแล้ว ก่อนที่สเปิร์มจะถูกฆ่าตายมันก็ยังสามารถเคลื่อนย้ายได้จนกว่าจะแห้ง ตัวอย่างเช่น หากคุณมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่มีการป้องกันและคิดว่าคงไม่ท้องแน่นอนเพราะไม่ได้ร่วมเพศทางช่องคลอด แต่คุณรู้ไหมว่าสเปิร์มสดที่เปรอะเปื้อนอยู่แถวๆทวารหนักอาจจะรั่วไหลเข้ามาใกล้ๆช่องคลอด และถ้าสเปิร์มยังไม่แห้งอาจจะผ่านเข้าไปในช่องคลอดได้ค่ะ

ถาม-แล้วการหลั่งภายนอกล่ะคะพี่ฮูก มีโอกาสจะท้องไหมคะ?

ตอบ – คำถามนี้หลายคนคงจะสงสัยกันมากเลยนะคะ พี่ฮูกขออธิบายแบบนี้ค่ะ จริงๆแล้วการหลั่งภายนอกนั้นมีโอกาสในการตั้งครรภ์สูงมาก เนื่องจากในระหว่างการมี  sex นั้นก็จะมีน้ำอสุจิออกมาบ้าง เพียงแต่ไม่มากเท่าตอนที่เสร็จกิจ อีกอย่างในจังหวะที่จะถึงจุดสุดยอดนั้นหากฝ่ายชายดึงอวัยวะเพศออกมาไม่ทันก็จะมีอสุจิอีกมากที่อยู่ในช่องคลอด หรือหากฝ่ายชายดึงออกมาได้ทัน การหลั่งอสุจิใกล้ๆกับช่องคลอดก็อาจจะทำให้ตัวอสุจินั้นเคลื่อนที่เข้าไปในช่องคลอดได้ เนื่องจากฝ่ายหญิงเองก็จะมีน้ำหล่อลื่นที่ทำให้ตัวอสุจิเดินทางได้สะดวก ซึ่งจากที่กล่าวมานี้ ทำให้อสุจิสามารถเข้าไปผสมกับไข่และเกิดโอกาสตั้งครรภ์ได้

ดังนั้นทางที่ดีที่สุดหากยังไม่พร้อมให้มีการตั้งครรภ์ ควรป้องกันเอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะ

ใครกังวลเรื่องน้องสาวมีกลิ่น คลิกที่รูปได้เลยจ้า

ยาคุมฉุกเฉิน ใช้ยังไง ปลอดภัยไหม ป้องกันการท้องได้จริงหรือเปล่า?

ยาคุมฉุกเฉิน ใช้ยังไง ปลอดภัยไหม ป้องกันการท้องได้จริงหรือเปล่า?

ยาคุมฉุกเฉิน ใช้ยังไง ปลอดภัยไหม ป้องกันการท้องได้จริงหรือเปล่า?

หลายคนมักจะเข้าใจความหมายเกี่ยวกับการใช้ยาคุมฉุกเฉินแบบผิดๆ เช่น การมี SEX  โดยที่ไม่ป้องกันจากนั้นค่อยกินยาคุมฉุกเฉินก็จะช่วยให้ไม่ต้องตั้งครรภ์ได้ หรือ ยาคุมฉุกเฉินกินเท่าไรก็ไม่มีผลอะไรบ้าง ซึ่งจริงๆแล้ว ยาคุมฉุกเฉินคืออะไร ใช้ยังไง ปลอดภัยไหมและใช้บ่อยๆมีผลต่อร่างกายอย่างไรบ้าง วันนี้พี่ฮูกจะมาเล่าทุกรายละเอียดให้ฟังกันค่ะ

ยาคุมฉุกเฉิน คืออะไร?

 จริงๆแล้วชื่อก็บอกเอาไว้อย่างชัดแจ้งเลยนะคะ ว่ายาคุมฉุกเฉินก็มีเอาไว้ใช้ในยามฉุกเฉินเท่านั้น  แล้วอย่างไหนบ้างล่ะที่เรียกว่าฉุกเฉิน  จริงๆแล้วคำถามนี้มีหลายคนที่ยังไม่รู้จริงๆ  คำว่าฉุกเฉินในที่นี้ อาจมีได้หลายกรณีค่ะ เช่น มีSEX แบบสวมถุงยางแล้วถุงยางเกิดรั่วหรือฉีกขาด หรือลืมรับประทานยาคุมกำเนิดติดต่อกันนานเกิน 2 วัน หรือไม่ก็อาจจะถูกข่มขืน แต่หากมีSEX โดยที่อารมณ์พาไปนั่นไม่ถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินนะคะ แต่หากเกิดขึ้นจริงๆก็สามารถใช้ได้แต่ไม่ควรทำบ่อยๆเพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์และมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพโดยตรง

แล้วยาคุมฉุกเฉินนี่เขาใช้กันยังไง?

ยาคุมฉุกเฉินในบ้านเราที่มีขายกันปัจจุบันนี้มีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ ยาคุมฉุกเฉินแบบเม็ดเดียวและแบบ 2 เม็ด สำหรับวิธีการรับประทานยาคุมแบบเม็ดเดียวที่ถูกต้องคือ รีบรับประทานยาคุมฉุกเฉินทันที หลังจากมี SEX  แบบไม่ได้ป้องกัน หรือเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และไม่เกิน 72 ชั่วโมง หากช้ากว่านี้อาจเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ได้ และวิธีการรับประทานยาคุมฉุกเฉินแบบ 2 เม็ดที่ถูกต้องคือ รับประทานเม็ดแรกให้เร็วที่สุดหลังจากการมี SEX แบบไม่ได้ป้องกัน และรับประทานเม็ดที่ 2 ต่อทันทีหลังจากทานเม็ดแรกไปแล้ว 12 ชั่วโมง โดยทั้งสองเม็ดนี้ต้องรับประทานไม่เกิน 72 ชั่วโมงหลังจากมี SEX โดยไม่ได้ป้องกัน

ที่สำคัญ การกินยาคุมฉุกเฉินนั้นมีความเสี่ยงต่อการล้มเหลวสูงถึง 15-25 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับการคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นๆ ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก อีกทั้งยังมีราคาแพง แต่เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดควรรีบรับประทานยาคุมฉุกเฉินทันทีหลังการมี SEX ที่ไม่ได้ป้องกัน

หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินจะมีอาการอย่างไรบ้าง?

ปกติแล้วจะไม่พบผลข้างเคียงเรื้อรังสำหรับคนที่กินยาคุมฉุกเฉิน แต่ก็มีบางรายที่อาจมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัว ปวดท้อง ปวดหน้าอกและ รู้สึกเหนื่อยล้าได้

ยาคุมฉุกเฉินทำงานยังไง?

ยาคุมฉุกเฉินจะสามารถยับยั้งหรือทำให้การตกไข่เลื่อนออกไป อีกทั้งตัวยา ยังสามารถทำให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้โพรงมดลูกไม่เหมาะแก่การฝังตัวของไข่ที่ถูกผสมแล้ว  แต่หากมีการตั้งครรภ์ไปแล้ว การรับประทานยานี้ก็ไม่ส่งผลในการยังยั้งการตั้งครรภ์ รวมไปถึงไม่สามารถทำให้เกิดการแท้งได้ นั่นหมายความว่า หากตั้งครรภ์ไปแล้วการรับประทานยานี้ก็ไม่ช่วยอะไรนั่นเอง

กินยาคุมฉุกเฉินแล้วประจำเดือนจะมาเมื่อไร?

การรับประทานยาคุมฉุกเฉินที่ดีที่สุด ควรเริ่มทานเม็ดแรกทันทีหลังการมีSEX ภายในระยะเวลา ไม่เกิน 24 ชั่วโมง และรับประทานเม็ดที่สองหลังจากทานเม็ดแรกไป 12 ชั่วโมง แต่หากกินช้ากว่านั้น ความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์ก็จะมีสูงขึ้น ซึ่งหลังจากรับประทานยาคุมฉุกเฉินเม็ดที่ 2 ไป หลังจากนั้นประมาณ 2-3 วันก็จะมีเลือดออกมาทางช่องคลอด  แต่หากภายใน 1 อาทิตย์ไม่มีเลือดออกมา ให้สงสัยว่าอาจจะตั้งครรภ์ และควรทดสอบด้วยการซื้อที่ตรวจครรภ์มาตรวจหรือไม่ก็ไปพบแพทย์  ไม่ควรรับประทานยาคุมฉุกเฉินซ้ำเพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ

แล้วถ้าใช้ยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆจะส่งผลเสียอย่างไรบ้าง?

ยาคุมฉุกเฉินเป็นยาที่ทำออกมาเพื่อแก้สถานการณ์จำเป็นที่ฉุกเฉินจริงๆ ซึ่งหากใช้บ่อยๆไม่ส่งผลดีอย่างแน่นอน และข้อเสียของการกินยาคุมฉุกเฉินบ่อยๆ ได้แก่

1.เสียเงินแพง

2.เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมสูงมาก

3.อาจจะเกิดการเสียเลือดมากและเกิดภาวะซีด

4.เสี่ยงต่อการติดโรคร้ายแรง เช่น โรคเอดส์หรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ

5.ประจำเดือนมาไม่ปกติ  รอบเดือนเรรวน ฮอร์โมนในร่างกายผิดปกติ มีเลือดออกกระปริดกระปรอย

6.เสี่ยงต่อเยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ และเกิดการท้องนอกมดลูกได้

7.อาจมีความเสี่ยงต่อการมีลูกยากในระยะยาว

 จากข้อมูลเหล่านี้นะคะ ชี้ให้เห็นว่า การกินยาคุมฉุกเฉินนั้นมีประสิทธิภาพต่ำที่สุดในการคุมกำเนิด และอาจเสี่ยงต่อการติดโรคต่างๆได้ ทางที่ดี พี่ฮูกแนะนำให้น้องๆหรือเพื่อนๆที่ยังไม่พร้อมที่จะตั้งครรภ์ เมื่อมี SEX ควรมีการป้องกันเอาไว้ก่อน เช่น การใช้ถุงยางอนามัย ,การรับประทานยาคุมกำเนิดแบบ 21 หรือ 28 เม็ด รวมไปถึงการฉีดยาคุมกำเนิด หรือฝังยาคุมกำเนิด และวิธีคุมกำเนิดแบบอื่นๆค่ะ หากใครกังวลเรื่องน้องสาวมีกลิ่น คลิกที่รูปได้เลยจ้า

5 ท่าออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน เพิ่มความฟิตกระชับช่วงล่างของผู้หญิง

5 ท่าออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน เพิ่มความฟิตกระชับช่วงล่างของผู้หญิง

5 ท่าออกกำลังกายอุ้งเชิงกราน เพิ่มความฟิตกระชับช่วงล่างของผู้หญิง

ผู้หญิงเราทุกคนเมื่ออายุเพิ่มขึ้นก็จะสังเกตได้ว่าอุ้งเชิงกรานของเรานั้นอ่อนแอลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้หญิงหลังคลอดจะสังเกตความอ่อนแอของอุ้งเชิงกรานได้มากยิ่งขึ้น

กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานจะประคับประคองกระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ และมดลูก หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานนี้หดตัว อวัยวะที่กล่าวมานี้จะถูกยกขึ้นและเปิดไปยังช่องคลอด ทวารหนัก และท่อปัสสาวะ แต่หากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนหรืออ่อนแอลงก็จะทำให้อุจจาระและปัสสาวะถูกขับออกมาจากร่างกาย

ส่วนสำหรับเรื่องเพศกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่แข็งแรงจะช่วยลดการปวดกระดูกเชิงกรานในระหว่างการมีเพศสัมพันธ์และยังเพิ่มความสามารถในการรับรู้รสสัมผัสที่พึงพอใจในการมีเพศสัมพันธ์อีกด้วย นอกจากการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรที่เป็นสาเหตุทำให้อุ้งเชิงกรานหย่อนตัวลงแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลกระทบอีก เช่น  โรคอ้วน,การยกของหนัก และการไอเรื้อรัง

โดยกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนนั้นจะส่งผลต่อสุขภาพของผู้หญิงเราหลายอย่าง ได้แก่

1.กลั้นปัสสาวะไม่อยู่

2.มีอาการท้องอืดบ่อยๆ

3.เจ็บปวดเมื่อมีเพศสัมพันธ์

ซึ่งปัญหาทั้งสามอย่างที่ยกมานี้เป็นปัญหาหนักอึ้งสำหรับผู้หญิงเราอย่างมากเลยทีเดียว และเพื่อป้องกันที่จะไม่ให้ผู้หญิงอย่างเราๆต้องมาประสบกับปัญหานี้ พี่ฮูกจึงมาแนะนำ

5 ท่าออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานของเราแข็งแรงค่ะ

1.ท่า Kegels

ท่านี้จะมีประโยชน์ต่ออวัยวะร่างกายเรา 3 ส่วนด้วยกันคือ ท่อปัสสาวะ ทวารหนักและช่องคลอดวิธีการทำคือ ฝึกขมิบอวัยวะเพศแล้วปล่อย เมื่อเราทำการขมิบ ควรขมิบค้างไว้สักประมาณ 5 วินาที จากนั้นปล่อยเป็นเวลา 5 วินาที แล้ววนกลับมาขมิบค้างไว้อีก 5 วินาที วนซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนครบ 10 ครั้ง โดยการขมิบและค้างไว้ 5 วินาที และปล่อย 5 วินาที เรานับเป็น 1 ครั้งนะคะ  เมื่อทำจนครบ 10 ครั้ง เราเรียกว่า 1 เซต วันหนึ่งแนะนำให้ทำวันละ 3 เซ็ตค่ะ โดยท่านี้จะช่วยให้ท่อปัสสาวะของเราแข็งแรงขึ้นและช่วยให้กลั้นปัสสาวะได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ง่ายขึ้น  ทำให้ผู้หญิงเราขับถ่ายสะดวก และที่สำคัญไปกว่านั้น ท่านี้ยังช่วยให้ช่องคลอดฟิตกระชับไม่หลวมโพรก แถมยังช่วยให้ผู้หญิงเราสามารถสำเร็จความใคร่ได้อย่างง่ายๆอีกด้วย

2.ท่า Squats

การออกกำลังกายด้วยท่า Squats จะเป็นการออกกำลังกายกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่สุดในร่างกาย ช่วยให้ช่วงล่างของเราแข็งแรง โดยวิธีการท่านี้ คือ

1.ให้ยืนตัวตรงแล้วแยกขาออกให้ความกว้างเท่ากับไหล่ ปลายเท้าชี้ออกเล็กน้อย

2.จากนั้นงอเข่า แล้วดันสะโพกลงไปเหมือนเรากำลังจะนั่งเก้าอี้ สายตามองตรง หลังตรง

3.หย่อนก้นลงจนต้นขาขนานกับพื้น ทิ้งน้ำหนักอยู่ที่ส้นเท้าและเข่าและโค้งตัวเล็กน้อย

4.เหยียดขาขึ้นกลับสู่ท่าตรง ทำซ้ำเรื่อยๆจนครบ 15 ครั้ง ต่อวันค่ะ

3.ท่าสะพาน

ท่านี้จะเป็นการออกกำลังกายที่เน้นส่วนก้นและบั้นท้าย ซึ่งถ้าทำอย่างถูกต้องจะช่วยทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานได้ดีและแข็งแรงมากยิ่งขึ้น วิธีทำก็คือ

-ให้นอนราบไปกับพื้นและชันเข่าขึ้น เหยียบให้เต็มฝ่าเท้า แขนวางข้างลำตัวคว่ำฝ่ามือลง

-หายใจเข้าดันสะโพกขึ้นและค้างไว้ 1-2 วินาทีและวางกลับที่เดิม ทำซ้ำ 10-15 ครั้ง ต่อ 1เซ็ต วันหนึ่งทำอย่างน้อย 3เซ็ต

4.ท่าแยกโต๊ะ

ท่านี้จะเป็นการขยับขาที่ทำหน้าที่เป็นพื้นฐานของการเคลื่อนไหวช่วยทำให้สะโพกและกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานทำงานได้ดี วิธีทำก็คือ นอนหงายแขนสองข้างแนบลำตัว คว่ำฝ่ามือลง ยกขาขึ้นแล้วงอเข่าตั้งฉากกับพื้น จากนั้นแยกขาสองข้างออกจากกันช้าๆ จากนั้นดึงขาสองข้างที่แยกกันกลับเข้ามาที่เดิม  ทำซ้ำ 10-15 ครั้งต่อ 1 เซ็ต แนะนำให้ทำวันละ 3 เซ็ตค่ะ

5.ท่า Bird dog

ท่านี้จะช่วยปรับสมดุล เสริมสร้างความแข็งแรง ทำให้เคลื่อนไหวได้อย่างมั่นคง ช่วยให้เรามีบาลานซ์การทรงตัวที่ดี  วิธีการทำคือ

คุกเข่าลงมือทั้งสองวางแนบกับพื้น หลังตรง ตามองตรง จากนั้นยืดขาขวาไปด้านหลัง พร้อมกับยื่นแขนซ้ายไปด้านหน้า จากนั้นงอเข่าและข้อศอกเข้ามาที่กลางลำตัว จากนั้นก็เหยียดขาและแขนออกไป ทำซ้ำ 10 ครั้ง จากนั้นสลับข้างและทำอีก 10 ครั้งนับเป็น 1เซ็ต แนะนำทำ 2 เซ็ตต่อวันค่ะ

การฝึกออกกำลังกาย 5 ท่านี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับอุ้งเชิงกรานของคุณผู้หญิงนะคะ เพื่อสุขภาพที่ดีอย่าลืมออกกำลังกายอุ้งเชิงกรานทุกวัน เพื่อความสวยและสุขภาพดีทุกวันและทุกวัยค่ะ

8 อาหารที่ควรกิน เพื่อบำรุงสุขภาพช่องคลอดให้แข็งแรง

8 อาหารที่ควรกิน เพื่อบำรุงสุขภาพช่องคลอดให้แข็งแรง

8 อาหารที่ควรกิน เพื่อบำรุงสุขภาพช่องคลอดให้แข็งแรง

ค่า PH ในช่องคลอดที่ไม่สมดุลนั้น เสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดอาการคันระคายเคือง รวมไปถึงกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ เนื่องจากแบคทีเรียในช่องคลอดที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนยามคอยจัดการกับแบคทีเรียจากภายนอกเข้าสู่ช่องคลอดนั้นถูกทำลาย ซึ่งเจ้าของร่างกายอย่างเราๆ ก็ต้องช่วยบำรุงรักษาเจ้าแบคทีเรียเจ้าถิ่นเหล่านี้เพื่อปกป้องสุขภาพของช่องคลอดของเราให้สมดุลและสุขภาพดี และหนึ่งวิธีที่เราจะช่วยบำรุงรักษาค่า PH ของช่องคลอดเอาไว้ นั่นก็คือการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และวันนี้พี่ฮูกก็มีอาหาร 8 ชนิดที่ผู้หญิงควรรับประทานเพื่อสุขภาพที่ดีของช่องคลอด ได้แก่

1.แครนเบอร์รี่

แครนเบอร์รี่ จะเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ และสารประกอบที่เป็นกรดที่ช่วยไม่ให้แบคทีเรียภายนอกเข้าไปเกาะติดกับผนังกระเพาะปัสสาวะที่อาจเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยวิตามินอีและวิตามินซีที่จะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงอีกด้วย

2.มันเทศ

มันเทศหลากสีสันมีประโยชน์อย่างมากสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะผู้หญิงที่ต้องการตั้งครรภ์ เนื่องจาก ในมันเทศอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนและวิตามินเอที่ช่วยเสริมสร้างและปกป้องผนังมดลูกและระบบสืบพันธุ์ให้แข็งแรง

3.โปรไบโอติกส์

โปรไบโอติกส์เป็นแบคทีเรียที่ดีส่วนใหญ่มักจะพบในลำไส้และช่องคลอด ซึ่งโปรไบโอติกส์เหล่านี้จะทำหน้าที่ป้องกันการติดเชื้อและรักษาสมดุล ค่า  PH ในช่องคลอดและลำไส้ให้อยู่ในระดับปกติ  ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์ ได้แก่ อาหารหมัก อย่างพวก กิมจิ โยเกิร์ตและนัตโตะ เป็นต้น

4.กรดไขมันโอเมก้า 3

กรดไขมันโอเมก้า 3จะช่วยในเรื่องของการไหลเวียนของเลือด บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ลดอัตราการเกิดช่องคลอดแห้งในสตีสูงอายุ บรรเทาอาการเป็นตะคริวหรือปวดหลังปวดเอวในระหว่างมีประจำเดือน นอกจากนี้ยังลดความเครียดและอารมณ์หงุดหงิดตอนมีประจำเดือนได้อีกด้วย ซึ่งอาหารที่อุดมไปด้วย กรอดไขมันโอเมก้า 3 ได้แก่ ปลาแซลมอน เมล็ดแฟลกซ์, ไข่, วอลนัท ถั่วเหลือง ปลาแมคเคอเรล น้ำมันตับปลา หอยนางรม ปลาซาร์ดีน ปลากะตักและอื่นๆอีกมากมาย

5.แอปเปิ้ล

แอปเปิ้ล นอกจากจะเป็นผลไม้ที่ช่วยลดความอ้วนแล้ว ยังสามารถช่วยให้สุขภาพของช่องคลอดแข็งแรงขึ้น เนื่องจากในแอปเปิ้ลจะมีไฟโตเอสโตรเจน และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในช่องคลอด กระตุ้นสารหล่อลื่นช่วยให้สำเร็จความไคร่และถึงจุดสุดยอดได้ง่ายๆ ซึ่งจากการศึกษาหนึ่งพบว่า แนะนำให้ผู้หญิงรับประทานแอปเปิ้ลวันละครั้งจะช่วยส่งเสริมการทำงานทางเพศได้ดียิ่งขึ้น

6.ถั่วเหลือง

ในถั่วเหลืองมีไฟโตเอสโตรเจนจากพืชที่เป็นประโยชน์ต่อผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับสตรีวัยทองและวัยหมดประจำเดือน ช่วยลดการแห้งของช่องคลอด ช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถเก็บกักน้ำได้มากยิ่งขึ้นทำให้ผิวแข็งแรงและยืดหยุ่น

7.อะโวคาโด้

ในอะโวคาโด้มีวิตามินบี 6 และโพแทสเซียม ช่วยเพิ่มระดับฮอร์โมนและเพิ่มประสิทธิภาพของการหล่อลื่นส่งผลดีต่อสมรรถภาพทางเพศ และการสำเร็จความไคร่ และยังช่วยเสริมสร้างผนังช่องคลอดให้แข็งแรง

8.ผักใบเขียว

ในผักใบเขียว สามารถช่วยฟอกเลือดและยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและการลำเลียงสารอาหารเข้าสู่ร่างกาย ช่วยป้องกันมดลูกแห้งและยังเพิ่มการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศอีกด้วย

จะเห็นได้ว่าอาหารทั้ง 8 ชนิดนี้ส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของช่องคลอด รวมไปถึงสมรรถภาพทางเพศให้ดีขึ้นอีกด้วย ดังนั้น คุณผู้หญิงทั้งหลายอย่าลืมหาอาหารเหล่านี้มารับประทานเป็นประจำ เพื่อสุขภาพของร่างกายที่ดีและแข็งแรงค่ะ