สีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกอะไรเราได้บ้าง

สีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกอะไรเราได้บ้าง

สีของปัสสาวะสามารถบ่งบอกอะไรเราได้บ้าง

  ปัสสาวะของคนเราตามธรรมชาติจะมีสีเหลือง แต่หากในระหว่างวันเราได้รับน้ำที่น้อยเกินไป ปัสสาวะของเราก็จะกลายเป็นสีเหลืองเข้มหรือสีน้ำตาลแดง ซึ่ง สีของปัสสาวะที่เปลี่ยนไปนี้อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงภาวะสุขภาพบางอย่างของเรา ดังนั้นเราทุกคนควรหมั่นสังเกตตัวเองเพื่อที่เวลาร่างกายของเราส่งสัญญาณเตือนอะไรมา เราจะได้หาทางรักษาก่อนที่มันจะก่อให้เกิดโรคต่างๆ ซึ่งวันนี้พี่ฮูกก็จะมาบอกถึงสีต่างๆของปัสสาวะและโรคที่อาจจะเกิดขึ้นค่ะ

ปัสสาวะมีสีเหลือง

สีของปัสสาวะ “ทั่วไป” ตรงกับสเปกตรัมของสีเหลืองอ่อนหรือสีเหลืองอำพัน ซึ่งการมีปัสสาวะสีนี้ ถือว่าร่างกายเป็นปกติและเมื่อเราดื่มน้ำมากๆ สีของปัสสาวะก็จะจางลง จนอาจเป็นสีใสๆเหมือนน้ำได้

ปัสสาวะมีสีแดงหรือสีชมพู

ปัสสาวะอาจมีสีแดงหรือสีชมพูนี้ อาจเกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น   ในระหว่างวันเรากินผลไม้ที่มีสีชมพูหรือม่วงแดงตามธรรมชาติอย่างเช่น: หัวผักกาด  บลูเบอร์รี่ หรือแก้วมังกร ปัสสาวะของเราก็อาจจะมีสีตามธรรมชาติของผลไม้เหล่านี้ได้  อีกทางหนึ่งสำหรับผู้หญิงก็คือภาวะของการมีประจำเดือน ก็อาจทำให้สีของปัสสาวะมีสีนี้ได้เช่นเดียวกัน แต่หากการที่มีปัสสาวะสีแดงหรือสีชมพูโดยที่ไม่มีประจำเดือนและไม่ได้รับประทานผลไม้ที่เกล่ามา อาจเกิดจากภาวะสุขภาพบางอย่างที่อาจทำให้เลือดปรากฏในปัสสาวะซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่าโลหิตปัสสาวะ โดยอาจมีความเสี่ยงที่อาจก่อเกิดโรคบางอย่าง ได้แก่  โรคเกี่ยวกับต่อมลูกหมากโต ,นิ่วในไต,เนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะและไต  ดังนั้นหากพบว่าตนเองมีปัสสาวะสีแดงหรือชมพูนี้ควรรีบปรึกษาแพทย์

ปัสสาวะมีสีส้ม

ถ้าปัสสาวะของเรามีสีส้มมันอาจจะเป็นอาการของการขาดน้ำ หรือดื่มน้ำน้อย แต่หากเพื่อนๆดื่มน้ำเยอะแต่มีปัสสาวะที่เป็นสีส้มแต่มีอุจจาระเป็นสีอ่อน ๆ อาจแปลได้ว่า น้ำดีอาจเข้าสู่กระแสเลือดเนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวกับระบบท่อน้ำดีหรือตับหรือ โรคดีซ่าน

ปัสสาวะมีสีน้ำเงินหรือสีเขียว

ปัสสาวะสีน้ำเงินหรือสีเขียวอาจเกิดจากสีของอาหาร นอกจากนี้ยังอาจเป็นผลมาจากสีย้อมที่ใช้ในการทดสอบทางการแพทย์ที่ทำขึ้นในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ หรืออาจ การติดเชื้อแบคทีเรีย บางชนิดที่ทำให้ปัสสาวะของเราเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสีเขียวหรือสีม่วงคราม โดยทั่วไปปัสสาวะสีน้ำเงินหาได้ยากแต่หากมีเกิดขึ้นก็อาจเกิดจากอาหารที่เราทานเข้าไปมากกว่า

ปัสสาวะมีสีน้ำตาลเข้ม

ในกรณีส่วนใหญ่ปัสสาวะที่เป็นสีน้ำตาลเข้ม นั้นแสดงถึงการคายน้ำในร่างกาย นอกจากนี้ ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้มยังเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางอย่าง รวมทั้งการรับประทาน ว่านหางจระเข้หรือถั่วปากอ้าจำนวนมาก ก็อาจทำให้ปัสสาวะมีสีน้ำตาลคล้ำได้  นอกจากนี้แล้วการที่ ปัสสาวะสีน้ำตาลเข้มยังสามารถเป็นตัวบ่งชี้ของโรคที่เกี่ยวกับตับ เป็นต้นค่ะ

ปัสสาวะมีสีขุ่น

การที่ปัสสาวะมีสีขุ่น อาจจะเป็นสัญญาณของการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ นอกจากนี้ยังอาจเป็นอาการของโรคเรื้อรังและภาวะไตบางชนิด  ในบางกรณีปัสสาวะสีขุ่นคล้ำๆอาจเป็นสัญญาณของการถูกคายน้ำ  ส่วนปัสสาวะที่มีสีขุ่นและมีฟอง อาจเป็นอาการของสภาวะสุขภาพที่รุนแรงรวมถึงโรคที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังของระบบทางเดินอาหารหรือลำไส้ หรือโรค โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ  แต่ก็มีบางกรณีที่ผู้ป่วยมีปัสสาวะเป็นฟองแต่แพทย์ไม่สามารถระบุสาเหตุได้เช่นกัน ดังนั้นหากไม่แน่ใจ ควรไปปรึกษาแพทย์จะดีกว่าค่ะ

    ดังนั้นหากเพื่อนสังเกตเห็นว่า ปัสสาวะมีสีชมพูหรือมีเลือดปนให้ไปพบแพทย์ทันที  เพราะนี่อาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพที่ร้ายแรงและควรได้รับการวินิจฉัยโดยเร็วที่สุด   แต่หากปัสสาวะมีสีส้มอาจเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับไตและกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งก็ควรพบแพทย์ทันทีเช่นกัน  แต่หากสีของปัสสาวะผิดปกติไปบ้างเล็กน้อย เช่น มีสีเหลืองเข้มนั่นเป็นเพราะเราดื่มน้ำน้อยเกินไป  และหากปัสสาวะเป็นสีใสเหมือนน้ำก็บ่งบอกได้ว่าเราดื่มน้ำมากเกินไป แต่หากปัสสาวะมีสีอื่นที่ผิดปกติอย่างที่พี่ฮูกได้บอกไปแล้ว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการอย่างใกล้ชิดต่อไปค่ะ

8 อาการแปลกๆที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายก่อนที่จะรู้ตัวว่าตั้งท้อง

กลัวท้องทำไงดี มาเช็ค 8 อาการแปลกๆที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายก่อนที่จะรู้ตัวว่าตั้งท้อง

 กลัวท้องทำไงดี มาเช็ค 8 อาการแปลกๆที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายก่อนที่จะรู้ตัวว่าตั้งท้อง

คนส่วนใหญ่จะรู้จักอาการของการตั้งครรภ์แบบทั่วๆไป อาทิเช่น มีการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว และอยากกินของเปรี้ยวๆ ซึ่งเวลาคนที่เรารู้จักแสดงอาการเหล่านี้ออกมา เราก็มักจะคาดเดาไปว่า พวกเธอเหล่านั้นกำลังตั้งครรภ์ แต่สาวๆรู้ไหมคะว่า ยังมีอาการอีกหลายอย่างที่เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคุณกำลังจะตั้งครรภ์ และในวันนี้พี่ฮูกจะมาบอกถึงอาการแปลกๆแบบไหนบ้างเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ร่างกายของคุณกำลังจะมีตัวอ่อนฝังอยู่ข้างในโดยอาการเหล่านี้ มักจะเกิดขึ้น ก่อนที่เราจะรู้ตัวว่าตั้งครรภ์ค่ะ ใครที่มีอาการเหล่านี้รีบเช็คเลยนะ

  1. จะมีสิ่งแปลกๆออกมาจากร่างกายของเรา– ผู้หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะหลั่งน้ำมูกออกมาจากช่องคลอด มีทั้งสีเขียว สีขาวหรือสีเหลืองอ่อน ในช่วงต้นหรือตลอดการตั้งครรภ์ นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผู้หญิงที่ไม่รู้ว่าตนกำลังตั้งครรภ์ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและคิดว่าตัวเองกำลังผิดปกติอะไรบางอย่าง
  2. อุณหภูมิในร่างกายของเราจะร้อนขึ้น – จะรู้สึกได้ทันทีหลักจากตื่นนอนในตอนเช้า หลังจากมีการตกไข่อุณหภูมิในร่างกายของคุณจะสูงขึ้นเล็กน้อย อุณหภูมิในร่างกายนี้จะสูงอยู่กว่า 2 สัปดาห์จนคุณได้รู้ว่าคุณตั้งครรภ์
  3. คุณจะรู้สึกปวดหัวและอยากฉี่ตลอดเวลา – การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและปริมาณเลือดในระหว่างตั้งครรภ์จะส่งผลให้คุณปวดหัว ในบางคนจะรู้สึกเหมือนมีการปวดประจำเดือนที่ด้านข้างของหน้าท้อง และผู้หญิงส่วนใหญ่จะปวดฉี่บ่อยนั่นเป็นเพราะมดลุกกำลังเติบโตทำให้เกิดแรงกดดันต่อกระเพาะปัสสาวะ
  4. รู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วน – ผู้หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่จะรู้สึกหน้ามืด มึนงง ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์เพราะการตั้งครรภ์ทำให้ความดันโลหิตลดลงและหลอดเลือดขยายตัว แต่ถ้าหากเกิดอาการเวียนศีรษะอย่างรุนแรงควบคู่กับการมีเลือดออกทางช่องคลอดและปวดท้องอย่างรุนแรง เป็นสัญญาณของการตั้งครรภ์นอกมดลูกเพื่อให้แน่ใจควรรีบไปพบแพทย์
  5. เจ็บป่วยบ่อย เป็นหวัดง่าย  –  การตั้งครรภ์จะลดภูมิคุ้มกันในร่างกายของคุณลงทำให้คุณเกิดป่วยไข้หรือเป็นหวัดได้ง่าย
  6. รู้สึกแสบร้อนในบริเวณหน้าอก – ฮอร์โมนทุกอย่างในร่างกายเปลี่ยนในระหว่างตั้งครรภ์รวมถึงวาล์วระหว่างกระเพาะอาหารกับหลอดอาหาร อาจทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารที่จะรั่วไหลเข้าไปในหลอดอาหาร
  7. อารมณ์ของคุณจะเปลี่ยนแปลงขึ้นๆลงๆ – เนื่องจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนไปเมื่อคุณตั้งครรภ์ อารมณ์ของคุณจึงแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปมา เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ นั่นเป็นอาการแรกๆที่บ่งบอกว่า คุณกำลังตั้งครรภ์
  8. คุณมักจะได้กลิ่นและรสชาติของโลหะ – การเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนและฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนในระหว่างตั้งครรภ์อาจส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรสชาติของหญิงตั้งครรภ์จำนวนมาก คุณมักจะได้กลิ่นหรือรับรสของโลหะบ่อยๆ เมื่อมีอาการแบบนี้เกิดขึ้นลองดื่มน้ำเย็นๆหรือกินอาหารที่เผ็ดร้อนก็จะช่วยได้

 8 อาการแปลกๆที่ระบุมาข้างต้นอาจทำให้คุณเกิดความเครียด แต่อาการเหล่านั้นจะชี้ให้เห็นว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ ลองสังเกตและ

ให้ความสำคัญกับการเตือนในร่างกายของเราเพื่อที่คุณจะได้เตรียมตัวไปพบแพทย์เพื่อทดสอบการตั้งครรภ์และดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี

ตกขาวคืออะไร หากพบว่าตกขาวผิดปกติควรทำอย่างไร

ตกขาวคืออะไร หากพบว่าตกขาวผิดปกติควรทำอย่างไร

ตกขาวคืออะไร หากพบว่าตกขาวผิดปกติควรทำอย่างไร

ตกขาว คือของเหลวลักษณะสีขาวใสหรือมูกใสสีขาวที่ไหลออกมาจากช่องคลอด โดยตกขาวเกิดมาจาก เยื่อบุผิวหนังด้านในของช่องคลอดที่สร้างเยื่อเมือกที่มีลักษณะคล้ายแป้งเพื่อช่วยหล่อลื่นช่องคลอด ช่วยป้องกันเชื้อโรคและขับสิ่งแปลกปลอมออกมาจากช่องคลอด

ปกติแล้วเยื่อเมือกนี้จะถูกขับออกมาในช่วงไข่ตกและใกล้มีประจำเดือน ลักษณะของตกขาวที่ปกติจะมีสีขาวใสหรือขาวขุ่นๆคล้ายแป้ง ไม่มีกลิ่น แต่หากตกขาวมีสีขาวขุ่นมากกว่าปกติ มีกลิ่นเหม็น  มีฟอง  บางรายอาจมีปนมูกเลือด หรือปนหนอง รวมกับอาการผิดปกติอื่น เช่น มีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อนแถวๆช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด ปวดท้องน้อย แบบนี้ถือว่าตกขาวผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาทันที

วิธีสังเกตสีของตกขาว สามารถบ่งบอกอาการของช่องคลอดเราได้

ตกขาวเป็นสีใสหรือมูกใส ไม่มีกลิ่น ไม่คัน ถือว่าอาการปกติ ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

ตกขาวสีขุ่นๆมีฟอง เกิดจากการอักเสบของช่องคลอดหรือการติดเชื้อแบคทีเรีย

ตกขาวมีสีขาวปนเทา มีกลิ่นเหม็นคล้ายปลาเค็ม เกิดจากแบคทีเรียส่งผลให้เกิดการระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด มักพบบ่อยๆในคนที่ชอบสวนล้างช่องคลอด หรือติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

ตกขาวเป็นสีเหลืองขาวหรือสีขาวข้นคล้ายคราบนมบูด มีกลิ่นเหม็นอับ รวมถึงแสบคันที่อวัยวะเพศ เกิดจากเชื้อรา ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ผู้ที่ใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานานๆ ภูมิคุ้มกันต่ำและมีเอสโตรเจนสูง

ตกขาวมีสีเหลืองเขียว เป็นฟอง มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เกิดจากการติดเชื้อในช่องคลอด

ตกขาวสีน้ำตาลหรือมีมูกเลือดปนออกมา เกิดจากการติดเชื้อที่ปากมดลูกหรือช่องคลอด

ตกขาวสีชมพู ตกขาวสีนี้มักพบในมารดาหลังให้กำเนิดทารกหากเป็นสีชมพุจางๆ ซึ่งถือว่าเป็นตกขาวที่ปกติ แต่หากตกขาวมีสีชมพูเข้มจนถึงสีแดงควรพบแพทย์

การดุแลรักษาตัวเองเมื่อตกขาวผิดปกติ

1.เมื่อไปพบแพทย์แพทย์จะทำการรักษาและจ่ายยา เราต้องกินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

2.สวมกางเกงในที่ใส่สบายๆระบายอากาศได้ดี เช่นกางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือวัสดุจากธรรมชาติ และเลือกกางเกงที่ใส่สบายไม่รัดจนเกินไป

3.รักษาความสะอาดของช่องคลอดอยู่เสมอ พยายามไม่ให้เกิดการอับชื่น ห้ามฉีดน้ำหอม ไม่ควรโรยแป้งและหลีกเลี่ยงการใช้ผ้าอนามัยแบบสอดในช่วงที่มีประจำเดือนระหว่างทำการรักษาตกขาว

4.หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะหายเป็นปกติ

5.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ งด สูบบุหรี่ และงดอาหารหมักดองต่างๆ

6.รับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำเยอะๆ ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อช่วยสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงค่ะ

ตกขาวไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ แต่ให้หมั่นสังเกตตัวเองหากพบว่ามีอาการตกขาวผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์นะคะจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีเพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองค่ะ

10 วิธีง่ายๆ แก้ปวดประจำเดือน

10 วิธีง่ายๆ แก้ปวดประจำเดือน

10 วิธีง่ายๆ แก้ปวดประจำเดือน

เป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบากนะคะ  หนึ่งในความลำบากอย่างหนึ่งที่ผู้หญิงต้องงเจอทุกๆเดือน เดือนละ2-3 วันนั่นก็คือการมีประจำเดือนค่ะ การมีประจำเดือนนั้นก็สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจมากพออยู่แล้ว บางรายยังมีอาการปวดประจำเดือนร่วมด้วย เรียกได้ว่าปัญหาหนักอกคูณสองคูณสามกันเลยทีเดียวค่ะ

อาการปวดประจำเดือนนะคะ จะรู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย ปวดแบบตุบๆบางรายก็ปวดแบบบีบๆ อาการมากหรือน้อยก็แตกต่างกันออกไป บางรายนะคะมีอาการปวดท้องน้อยร่วมกับปวดส่วนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะเป็นสะโพก หลังส่วนล่าง และต้นขาด้านใน บางรายจะมีอาการเวียนหัว อาเจียนหรือถ่ายเหลวด้วย

และสำหรับสาวๆที่ไม่อยากทนกับอาการปวดประจำเดือนในทุกๆเดือนแล้ว พี่ฮูกมีวิธีดีๆมาแนะนำค่ะ

1.รับประทานยาแก้ปวด

2.ใช้ถุงน้ำร้อนวางบนท้องน้อยหรือหลังบริเวณที่ปวด วิธีนี้จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น

3.อาบน้ำด้วยน้ำอุ่น

4.รับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและมีคุณค่าทางอาหารสูง

5.ออกกำลังกายเป็นประจำ

6.ฝึกการผ่อนคลายของร่างกาย เช่น เล่นโยคะ หรือพิลาทิส

7.ลดการบริโภคเกลือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ คาเฟอีน และน้ำตาล เพื่อป้องกันอาการท้องอืด ที่อาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายตัวมากยิ่งขึ้น

8.งดสูบบุหรี่

9.นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

10.เวลานอนแล้วยังรู้สึกปวด ให้นอนหงายแล้วชันเข่าขึ้นมา จะช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดขึ้นได้

และนี่ก็เป็นวิธีปฏิบัติตัวง่ายๆแต่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้ ยิ่งสาวๆที่ดูแลตัวเองดีมีสุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารที่มีประโยชน์และพักผ่อนอย่างเพียงพอเดือนถัดๆไปอาการปวดประจำเดือนก้อาจจะลดลงได้อีกด้วยค่ะ

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร การนับวันไข่ตก นับยังไง ไปดูกัน

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร การนับวันไข่ตก นับยังไง ไปดูกัน

หน้า 7 หลัง 7 คืออะไร การนับวันไข่ตก นับยังไง ไปดูกัน

สาวน้อยสาวใหญ่คงจะเคยได้ยินการนับวันไข่ตกมาบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ ข้อดีของการนับวันไข่ตกคือ ให้สาวๆได้เตรียมความพร้อมและเตรียมรับมือกับวันนั้นของเดือนที่กำลังจะมาถึง และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการจะตั้งครรภ์ก็จะสามารถเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ให้สูงขึ้นอีกด้วยค่ะ

ความเชื่อที่ว่าการนับหน้า 7 หลัง 7 ของการมีประจำเดือนนั้นคือความปลอดภัย บางรายเข้าใจว่า หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงระยะเวลานี้โดยที่ไม่ใส่ถุงยางหรือไม่มีการป้องกันก็จะไม่ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้นั้น วันนี้พี่ฮูกจะมาไขคำตอบตรงนี้ให้ชัดแจ้งกันค่ะ

วิธีนับวันไข่ตกที่ถูกต้อง

ปกติการตกไข่ของผู้หญิงจะเกิดขึ้นทุกเดือน เดือนละหนึ่งครั้ง หลังการตกไข่ หากไม่ได้รับการปฏิสนธิไข่ก็จะฝ่อและออกมาเป็นประจำเดือน ประจำเดือนของผู้หญิงส่วนใหญ่จะมาทุกๆ 28 วัน บางวันอาจมาช้ากว่ากำหนดบ้างแล้วแต่ปัจจัยเสี่ยงบางอย่างในสุขภาพร่างกายของแต่ละคน หากประจำเดือนมาปกติและมาตรงเวลา การนับวันตกไข่ก็จะมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยการนับวันตกไข่นั้น จะนับวันแรกหลังจากที่ประจำเดือนมาเป็นวันที่ 1 และเมื่อนับมาจนถึงวันที่ 14 ก็จะเป็นวันที่ไข่ตกลงมาสู่ท่อนำไข่แล้วเคลื่อนตัวไปยังมดลูกและรอได้รับการปฏิสนธิ และเมื่อในช่วงไข่ตกไม่มีการปฏิสนธิ ไข่ก็จะฝ่อและถูกขับออกมาเป็นประจำเดือนหลังจากวันที่ไข่ตกแล้วอีกประมาณ 14 วัน  นั่นก็หมายความว่า หากประจำเดือนของน้องๆมาปกติประจำทุกเดือน สมมุติว่า วันแรกของประจำเดือนมาคือวันที่ 10 ตุลาคม เราก็จะนับวันที่ 10 ตุลาคมเป็นวันที่ 1 จากนั้นนับต่อไปอีก 14 วัน ก็คือวันที่  23 ตุลาคมซึ่งวันที่ 23 ตุลาคมนี่แหละที่เป็นวันไข่ตก และหากไม่ได้รับการปฏิสนธิในวันนี้ไข่ก็จะฝ่อและถูกขับออกมาเป็นประจำเดือนในอีก 14 วันซึ่งก็คือ ประมาณวันที่  6 พฤศจิกายน นั่นเองค่ะ

ในส่วนการนับวันตกไข่เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือกับประจำเดือนสำหรับคนที่ประจำเดือนมาปกติทุกเดือนนะคะ ก็เตรียมผ้าอนามัยติดตัวไปด้วยเลยค่ะ เผื่อประจำเดือนมาตอนไหนเราจะได้เอามาใช้ได้ทันเวลาค่ะ

และสำหรับคนที่ต้องการตั้งครรภ์นั้น คู่ชายหญิงอาจจะต้องเตรียมมีเพศสัมพันธ์กันในช่วง 1-2 วันก่อนไข่ตก นั่นก็คือในช่วงวันที่ 21-23 ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์มากยิ่งขึ้นค่ะ

แต่สำหรับคำว่าหน้า 7 หลัง 7 ที่พูดถึงกันนั้น เชื่อกันว่าการมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ป้องกันอะไรเลยในช่วง 7วันก่อนการมีประจำเดือนและหลังจากประจำเดือนหมด 7 วัน จะเป็นช่วงระยะปลอดภัยและไม่สามารถทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้นั้น ความจริงแล้ว  ทฤษฎีนี้มีความเสี่ยงต่อการผิดพลาดและเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมสูง เนื่องจากประจำเดือนและวันตกไข่ของแต่ละคนไม่เท่ากัน สุขภาพร่างกายของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆที่อาจจะทำให้ประจำเดือนมาคลาดเคลื่อนไปจากเดิม ดังนั้นการนับหน้า 7 หลัง 7 จึงอาจเกิดความผิดพลาดได้ ทางที่ดีหากยังไม่พร้อมจะให้เกิดการตั้งครรภ์ควรป้องกันไว้ก่อน เช่น การสวมถุงยางอนามัยหรือการป้องกันการตั้งครรภ์รูปแบบอื่นๆค่ะ

คันช่องคลอด เกิดจากอะไร และต้องแก้ไขอย่างไร

คันช่องคลอด เกิดจากอะไร และต้องแก้ไขอย่างไร

คันช่องคลอด เกิดจากอะไร และต้องแก้ไขอย่างไร

อาการคันช่องคลอดเชื่อว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่เคยประสบพบเจอนะคะ  เวลาที่เกิดอาการคันขึ้นมานี่ นั่งไม่เป็นสุขกันเลยทีเดียวค่ะ นอกจากอาการคันที่ผู้หญิงเราต้องอดทน เพราะไม่สามารถล้วงมือเข้าไปเกาให้หายคันได้ จึงทำให้เกิดอารมณ์หงุดหงิดเป็นอย่างมาก และวันนี้ พี่ฮูกจะมาเล่าถึงสาเหตุ และวิธีการแก้ไขปัญหาคันจิ่มที่ได้ผลดีกันค่ะ

อาการคันช่องคลอด เกิดมาจากหลายสาเหตุ เช่น

1.ผู้ใหญ่วัยหมดประจำเดือน หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า วัยทอง นั่นแหละค่ะ โดยวัยนี้จะมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง เป็นผลให้เมือกที่เคลือบบริเวณช่องคลอดบางลง ทำให้ช่องคลอดแห้งและเกิดอาการคันและระคายเคืองได้

2.เกิดจากโรคผิวหนังบางชนิด

3.เกิดจากการอักเสบ เนื่องจากแบคทีเรีย การอักเสบนี้เป็นผลมาจากความสมดุลของช่องคลอดลดลง อาจส่งผลให้ตกขาวมีสีและกลิ่นที่ผิดปกติ รวมถึงการคันและระคายเคืองของช่องคลอด

4.เกิดจากเชื้อรา อาการคันที่เกิดจากเชื้อราเป็นสิ่งที่พบบ่อยมากที่สุดในอาการคันช่องคลอดของสาวๆ ซึ่งเชื้อราเหล่านี้ เมื่อมีการเพิ่มที่มากกว่าปกติ จะทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง บางรายอาจรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวหนังบริเวณช่องคลอด เมื่อเกาจะรู้สึกยิ่งคันกว่าเดิมและมีผื่นแดงๆ ซึ่งบางรายอาจมีตกขาวเป็นก้อนๆไหลออกมาจากช่องคลอดด้วย

5.เกิดจากความเครียด ถึงแม้ว่าสาเหตุนี้จะพบได้ไม่บ่อย แต่ความเครียดที่ยาวนานและเครียดบ่อยๆก็ส่งผลให้เกิดอาการคันที่ช่องคลอดได้ เนื่องจากความเครียดจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย

6.เกิดจากการใช้สารเคมี ไม่ว่าจะเป็น สบู่หรือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดช่องคลอดที่มีความเป็นกรดด่างสูง นอกจากนี้ยังรวมไปถึง ครีมอาบน้ำ ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่มและกระดาษชำระด้วย

7.การสวมกางเกงใน หรือกางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป ทำให้กาไหลเวียนของอากาศไม่ดี เกิดการอับชื้นและหมักหมม ส่งผลให้เกิดอาการคันและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์

8.เกิดจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น เริม หรือหูดที่อวัยวะเพศ รวมไปถึงโรคหนองในแท้ หนองในเทียมและการติดเชื้อทริโคโมแนส

8.เกิดจากสัญญาณของโรคมะเร็งปากช่องคลอด ซึ่งหากคนที่มีอาการคันช่องคลอด บวกกับการมีเลือดออกในระยะเวลาที่ไม่ใช่ประจำเดือน และรู้สึกเจ็บบริเวณปากช่องคลอดควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายค่ะ

เมื่อคันช่องคลอดควรทำอย่างไร

1.ไม่ควรล้างช่องคลอดบ่อย เกิน 1 ครั้งต่อวัน หลายคนสงสัยว่า การล้างทำความสะอาดช่องคลอดบ่อยๆ จะทำให้ช่องคลอดสะอาดและลดอาการคันได้ แต่หารู้ไม่ว่า การล้างช่องคลอดด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือสบู่บ่อยเกินไปนั้น จะทำให้ช่องคลอดแห้งและทำให้เกิดอาการคันระคายเคืองได้  ทางที่ดีควรทำความสะอาดแค่วันละ 1 ครั้งหลังอาบน้ำและเลือกทำความสะอาดช่องคลอดด้วยสบู่หรือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน หลังจากล้างทำความสะอาดเสร็จแล้ว ควรใช้ผ้าสะอาดซับให้แห้ง

2.รับประทานผักและผลไม้มากขึ้น รวมไปถึงรับประทานโยเกิร์ตที่มีส่วนผสมของจุลินทรีย์ที่มีชีวิต จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อราที่ช่องคลอดได้

3.เลือกใช้กางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือวัสดุธรรมชาติ และเปลี่ยนกางเกงในทุกวัน อย่าใส่ซ้ำกันเด็ดขาด

4.เวลาซักกางเกงใน ควรนำมาตากแดดให้แห้ง หลีกเลี่ยงการตากในร่มหรือตากกางเกงในในห้องน้ำ

5.หากมีอาการคันให้อดทน อย่าเกาจนเกิดแผลหรืออักเสบเพราะจะทำให้ช่องคลอดติดเชื้อและมีอาการคันและระคายเคืองที่รุนแรงขึ้น

6.หากรู้สึกว่าอาการคันมากว่าปกติ มีตกขาวเยอะ แถมตกขาวยังมีสีและกลิ่นแปลกๆ รวมไปถึง ช่องคลอดมีอาการบวมแดง รุ้สึกเจ็บ ตึง และมีเลือดออก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อการรักษาที่ทันท่วงทีค่ะ

หมดกังวลเรื่องน้องสาวมีกลิ่น คลิกเลยจ้า

น้องสาวมีกลิ่น ควรทำอย่างไรดี

น้องสาวมีกลิ่น ควรทำอย่างไรดี

น้องสาวมีกลิ่น ควรทำอย่างไรดี

ผู้หญิงเราส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาจุกจิกกวนใจมากกมาย หนึ่งในเรื่องใหญ่ที่ไม่กล้าบอกใคร นั่นก็คือ เรื่องของน้องสาวหรืออวัยวะเพศของเรานี่แหละค่ะ บางคนรู้สึกว่าน้องสาวมีกลิ่น ทำให้เกิดความกลัวและความอาย ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง วันนี้พี่ฮูกจะมาบอกเคล็ดลับคืนความมั่นใจให้กับสาวๆบรรเทาน้องสาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์กันค่ะ

หากสาวๆพบว่าน้องสาวมีกลิ่นไม่พึงประสงค์สิ่งที่ควรทำได้แก่ หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของน้องสาวอย่างสม่ำเสมอ เช่น

  • เวลาอาบน้ำก็ล้างทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นด้วยน้ำสะอาด หรือสบู่ๆอ่อนๆ หลีกเลี่ยงการใช้สบู่หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ค่าความเป็นกรดด่างสูงเกินไป เพราะอาจจะทำให้ช่องคลอดเกิดความไม่สมดุล
  •  การทำความสะอาดช่องคลอด ควรทำความสะอาดแค่ภายนอกเท่านั้น  และเมื่อทำความสะอาดเสร็จควรใช้ผ้าสะอาดซับให้แห้ง หลีกเลี่ยงการฉีดน้ำหอมหรือสเปรย์ใดๆเข้าไปในช่องคลอด
  • เลือกสวมกางเกงในที่ใส่สบาย ไม่รัดตึงจนเกินไป แนะนำเลือกกางเกงในที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เพราะจะช่วยระบายความอับชื้นได้ดี
  • หากอยู่ในช่วงการมีประจำเดือน ควรหมั่นเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยๆ อย่างน้อยควรเปลี่ยนทุกๆ 3-4 ชั่วโมง
  •  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้  รวมไปถึงการออกกำลังกายเป็นประจำ เพราะนอกจากจะช่วยให้สุขภาพโดยรวมดีแล้ว ยังช่วยให้สุขภาพของน้องสาวแข็งแรงขึ้นอีกด้วย

ปกติแล้วช่องคลอดของผู้หญิงจะมีกลิ่นเล็กน้อยกันอยู่แล้วนะคะ เนื่องจาก เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างอับชื้น และต้องปกปิดซ่อนเร้น การมีกลิ่นเล็กน้อยถือว่าไม่น่ากังวลค่ะ แต่หากน้องสาวมีกลิ่นฉุนกว่าปกติ หรือมีกลิ่นเหม็นคาวมากยิ่งขึ้น บางรายอาจมีอาการปวดแสบปวดร้อน เกิดการระคายเคืองและมีอาการคันร่วมด้วย  รวมไปจนถึงมีตกขาวมากผิดปกติ หรือตกขาวมีสีและกลิ่นที่ผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ  อย่าลืมนะคะสาวๆเมื่อเห็นว่าน้องสาวมีอาการผิดปกติ พี่ฮูกแนะนำให้น้องๆ รีบไปพบแพทย์โดยด่วนเลยค่ะ อย่าอายนะคะ รีบรักษาให้หายก่อน  เพราะหากมัวแต่อาย และไม่รีบรักษาเมื่อเกิดปัญหาใหญ่มา อาจจะได้อายมากกว่าเดิมนะคะ