6 ประโยชน์ของกัญชาที่คุณคาดไม่ถึง

6 ประโยชน์ของกัญชาที่คุณคาดไม่ถึง

กัญชากำลังได้รับความสนใจอย่างมากจากสื่อมวลชนและคนทั่วไปเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งข้อมูลของมันก็มีทั้งทางด้านบวกและด้านลบ และในวันนี้เราจะมาบ่งบอกถึงประโยชน์ของกัญชาแบบที่คุณคาดไม่ถึงและไม่เคยรู้มาก่อนค่ะ ว่ากัญชาเนี่ยมันสามารถทำอะไรได้มากกว่าที่เราคิด

กัญชาเป็นพืชเอนกประสงค์และมีประโยชน์อย่างมากมายให้กับมนุษย์มานานหลายศตวรรษทั้งเป็นส่วนช่วยในการผลิตเครื่องมือและอาหารหลากหลายชนิด และกัญชาถูกนำใช้ทั่วโลกเกือบทุกสถานการณ์

กัญชงและกัญชาแตกต่างกันอย่างไร

กัญชงและกัญชามักจะทำให้หลายคนสับสน ถึงแม้ว่าทั้งสองชนิดจะไม่ใช่พืชชนิดเดียวกัน แต่หลายคนก็ไม่เห็นความแตกต่าง เท่าไรนัก ในกัญชงจะมีปริมาณ THC(Tetrahydrocannabinol)หรือสารที่ก่อให้เกิดความมึนเมา น้อยกว่า 3% ดังนั้นจึงไม่มีความสามารถทางด้านผลิตเป็นยาปฏิชีวนะ(ไม่ส่งผลต่อสภาวะจิตใจ) ในขณะที่กัญชามีประมาณ THC มากกว่า 5% ส่งผลต่ออาการทางจิต

1. กัญชาใช้เป็นส่วนผสมของการผลิตขนมและอาหารเสริมต่าง ๆ

เมล็ดกัญชาได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับผู้บริโภค เนื่องจากในเมล็ดกัญชาอุดมไปด้วยกรดไขมัน โปรตีน วิตามินอี ฟอสฟอรัส โซเดียมและโพแทสเซียมสูง ด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้นมกัญชาจึงเป็นที่นิยมของผู้คน

วิธีทำนมกัญชาด้วยตัวเองที่บ้านสามารถทำเองง่ายๆด้วยการนำเมล็ดกัญชา 1 ถ้วย กับน้ำสองส่วนมาปั่นละเอียด จากนั้นกรองเอาแต่น้ำแล้วนำมาดื่ม ซึ่งเมื่อดื่มแล้วเราจะได้สัมผัสกับครีมสีขาวนุ่มเนียน ถ้าจะให้อร่อยต้องทานคู่กับธัญพืชในมื้อเช้าค่ะ

2. กัญชาใช้ผลิตเป็นผ้าที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม

กัญชาถูกนำมาใช้ในการผลิตผ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากในหลายประเทศยังมีกฎหมายห้ามปลูกกัญชาทำให้มีสิ่งทอที่เกิดจากกัญชาลดลง โดยผ้าที่ทำจากกัญชาเป็นผ้าที่ให้ความอบอุ่นและนุ่มสบาย แถมยังมีความทนทานกว่าผ้าชนิดอื่นๆเป็นอย่างมาก ผ้าจากกัญชากำลังเป็นทางเลือกใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกับผ้าฝ้าย เพราะกัญชาสามารถผลิตผ้าได้ปริมาณมากกว่าและยังมีกระบวนการผลิตที่ผลผลกระทบต่อสิ่งแวดล้มน้อยกว่าการผลิตผ้าฝ้ายอีกด้วย

3.กัญชาใช้ผลิตกระดาษ

กัญชาถูกนำมาใช้ทำกระดาษมานานกว่า 2000 ปี และเป็นเรื่องที่เหมาะสมสำหรับการผลิตกระดาษมากกว่าไม้ เพราเติบโตได้เร็วกว่าแถมยังไม่จำเป็นต้องตัดไม้ทำลายป่า แถมกระดาษที่ผลิตจากกัญชายังเป็นกระดาษที่มีความทนทานสูงมาก ซึ่งก่อนหน้านี้กระดาษที่ผลิตจากกัญชาเป็นกระดาษที่ใช้ในรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาก่อนที่จะถูกเปลี่ยนไปเป็นกระดาษ parchment

4.กัญชาใช้ผลิตเป็นวัสดุก่อสร้าง

สิ่งก่อสร้างที่ทันสมัยมีผลกระทบอย่างมากต่อสิ่งแวดล้อม วัสดุก่อสร้างทั่วไปเช่นคอนกรีตและฉนวนกันความร้อนจะช่วยเพิ่มการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ต่อที่อยู่อาศัยของเราและทำให้ชีวิตของเรามีความยั่งยืนน้อยลงในระยะยาว แต่โชคดีที่กัญชาสามารถผลิต Hempcrete ได้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคอนกรีตที่มีน้ำหนักเบากันไฟและมีความยืดหยุ่น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือสามารถรีไซเคิลได้และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

5.กัญชาใช้ผลิตพลาสติก

โลกของเราใช้พลาสติกจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม  แต่ปัญหาพลาสติกล้นเมืองกำลังจะลดลงไปเมื่อพลาสติกชีวภาพที่ผลิตจากกัญชาจะเป็นทางเลือกที่ดีต่อไปในอนาคตเพราะดีต่อสิ่งแวดล้อมและย่อยสลายเองได้

6.กัญชาถูกนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิง

เชื้อเพลิงส่วนใหญ่ที่เราใช้สามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสู่ชั้นบรรยากาศทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  ซึ่งในปัจจุบันกัญชาถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนชีวภาพที่คล้าย ๆ กับน้ำมันเบนซิน แต่ไม่ก่อให้เกิดปัญหากับสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

คุณประโยชน์ที่หลากหลายของกัญชานั้นเป็นที่ต้องการและดีต่อโลก แต่หากว่ากัญชายังเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องในบางประเทศเพราะหลายคนคิดถึงผลเสียและรู้จักในด้านที่ไม่ดีของกัญชาเป็นส่วนใหญ่จึงทำให้มองไม่เห็นถึงศักยภาพอีกด้านที่สำคัญของกัญชาซึ่งมีประโยชน์หลายด้านมาก ๆ ต่อโลกของเรา หวังเพียงแค่ว่ากัญชาจะถูกนำมาสร้างประโยชน์ต่อโลกมากกว่าที่เป็นอยู่

10 อาหารและเครื่องดื่มที่ควรเลี่ยงเมื่ออายุเกิน 40 ปี

10 อาหารและเครื่องดื่มที่ควรเลี่ยงเมื่ออายุเกิน 40 ปี

คนที่มีอายุเกิน 40 ปีไปแล้วอาจสังเกตเห็นว่าคุณไม่สามารถกินหรือดื่มสิ่งที่คุณเคยกินมาบางอย่างได้เหมือนแต่ก่อน นั่นเป็นเพราะร่างกายของคุณไม่ได้แข็งแรงเท่าเดิมแล้วและการมีอายุที่เพิ่มมากขึ้น ก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลาย ๆ อย่างและในวันนี้เราจะมาบอกถึงอาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อมีอายุเกิน 40 ปี เพราะอาจจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรงสูงมากยิ่งขึ้นค่ะ

1. เบคอน

การศึกษาหลายชิ้นซึ่งรวมถึงเรื่องจากสถาบัน Karolinska ในสตอกโฮล์มประเทศสวีเดนพบว่าการกินเบคอนวันละ 3 ชิ้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้เกือบหนึ่งในสี่ และการศึกษาแบบเดียวกันนี้อีกหลายชิ้นยังสรุปได้ว่า การบริโภคผลิตภัณฑ์ประเภทแปรรูป / อบแห้งอื่น ๆ เช่นแฮมไส้กรอกเบคอน frankfurters และซาลามี่อาจจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคที่อันตรายต่อร่างกายได้

2. แอลกอฮอล์

 แอลกอฮอล์โดยเฉพาะเครื่องดื่มค็อกเทลมีน้ำตาลมากกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ส่งผลให้ร่างกายของคุณพังพินาศเร็วขึ้น อีกทั้งแอลกอฮอล์ยังทำร้ายวิตามินเอจากร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ลงเร็วอีกด้วย

3. น้ำอัดลม

ในน้ำอัดลมเต็มไปด้วยคาเฟอีน น้ำตาลกลั่น และฟรักโทส ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ ปัญหาระบบทางเดินอาหาร การนอนไม่หลับ อารมณ์แปรปรวน เป็นโรคอัลไซเมอร์และโรคเบาหวาน อีกทั้งคาเฟอีนที่ได้รับพบว่าก่อให้เกิดโรคเกาต์ และเพิ่มโอกาสของการเป็นโรคหัวใจวาย

4. ของทอดต่าง ๆ

การกินของทอดที่ผ่านความร้อนสูงจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานและโรคหัวใจ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการรับประโยชน์จากอาหารเหล่านั้นคือ ทำการนึ่ง ต้ม แทนการทอด

5. ขนมปังขาว

ขนมปังขาวหรืออาหารที่อุดมด้วยแป้งขาว เช่น แครกเกอร์ม้วนและพาสต้า อาหารเหล่านี้จะเพิ่มการอักเสบในร่างกาย การอักเสบนี้อาจมีบทบาทในการเป็นพาหะของโรคหัวใจและหลอดเลือดและโรคเบาหวานประเภท 2ได้

6. โดนัท

ในโดนัทประกอบด้วยน้ำตาล แป้งขาว และไขมันทรานส์ ที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย อีกทั้งยังมีสาร ริลาไมด์ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งปอดได้

7. ขนมกรุบกรอบ

 อายุที่มากขึ้น การเผาผลาญแคลอรี่ก็จะลดลง ในขนมกรุบกรอบจะมีปริมาณของโซเดียมสูง แคลลอรี่สูงแถมยังมีผงชูรสที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

8. ซอสปรุงรสต่าง ๆ

เนื่องจากซอสเหล่านี้มีปริมาณของโซเดียมสูงมาก มันจะทำให้คุณผิวแห้งและผิวหนังหย่อนคล้อย แถมเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดโรความดันโลหิตสูงอีกด้วย

9. ป๊อปคอร์นสำเร็จรูป

ป๊อปคอร์นสำเร็จที่ใช้ใส่ไมโครเวฟแล้วได้ป๊อปคอร์นอร่อย ๆ ง่าย ๆ นั้นมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งสูงมาก แถมยังไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้าน

10. น้ำตาล หรือ สารให้ความหวานประเภทต่าง ๆ

 เนื่องจากอาหารเหล่านี้ประกอบด้วยน้ำตาลในปริมาณที่สูงมาก แถมก่อให้เกิดการเสพติดความหวานได้ง่าย น้ำตาลที่สูงส่งผลเสียต่อสุขภาพในหลายๆด้าน เสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันอุดตัน โรคอ้วน โรคมะเร็ง ฯลฯ

ยิ่งมีอายุเพิ่มมากยิ่งขึ้น กระบวนการการทำงานของร่างกายก็จะเสื่อมสภาพ หรือความสามารถในการทำงานลดลง การเลือกทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเป็นผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว ในทางกลับกันการเลือกรับประทานอาหารที่ดี และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอจะช่วยให้คุณมีสุขภาพแข็งแรงและอยู่กับลูกหลานได้อีกนาน

5อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นโรคไขมันพอกตับ

5อาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อเป็นโรคไขมันพอกตับ

โรคไขมันพอกตับส่วนใหญ่การเกิดของโรคนี้เกิดมาจากการกินอาหารและพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน โดยพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดโรคไขมันพอกตับได้แก่ การกินอาหารไม่มีประโยชน์และไม่ยอมออกกำลังกาย ปล่อยให้ตัวเองเป็นโรคอ้วน ซึ่งคนอ้วนมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันพอกตับสูงถึง 30% แต่ถ้าคุณหรือคนที่คุณรักเป็นโรคนี้ จึงควรลดน้ำหนักและเลี่ยงอาหารเหล่านี้ค่ะ

1.น้ำตาล น้ำอัดลม หรือสารให้ความหวานต่าง ๆ

เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงจะทำให้การเพิ่มระดับของน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและน้ำตาลเหล่านี้ร่างกายจะเปลี่ยนไปเป็นไขมัน แล้วเก็บสะสมเอาไว้ตามส่วนต่าง ๆ ส่งผลให้เป็นโรคอ้วนได้ง่าย ๆ และโรคอ้วนก็มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันในตับสูงขึ้น แถมยังเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายอื่น ๆ เช่นโรคมะเร็ง เพราะอาหารชั้นยอดของโรคมะเร็งก็คือน้ำตาล ดังนั้นการหลีกเลี่ยงน้ำตาลหรืออาหารหวาน ๆ นอกจากจะไม่ทำร้ายร่างกายแล้ว ยังช่วยลดการเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาและยังช่วยลดไขมันพอกตับได้อีกด้วย

2.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

แอลกอฮอล์เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคไขมันพอกตับและโรคตับชนิดอื่น ๆ เช่น ตับแข็งหรือตับอักเสบ อีกทั้งยังทำให้ตับของเราทำงานมากยิ่งขึ้น เนื่องจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีปริมาณของน้ำตาลสูงมาก และยังมีแคลอรี่ที่สูงไม่แพ้กัน สองสิ่งนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไขมันพอกตับก็เพิ่มขึ้นตามเป็นเท่าตัว

3.อาหารที่มีไขมันทรานส์

อาหารเหล่านี้จะมีปริมาณไขมันที่ไม่ดีสูงมาก  อีกทั้งร่างกายยังย่อยได้ง่าย ทำให้มีพลังงานสะสมเพิ่ม เมื่อพลังงานสะสมเหล่านี้ไม่ได้รับการใช้งานก็จะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันไปสะสมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย รวมถึงตับด้วย ซึ่งอาหารที่มีไขมันทรานส์ได้แก่ ขนมปังหรือเบเกอรี่ที่ไม่ได้ทำเอง ขนมอบกรอบ ครีมเทียม นมข้นหวาน และน้ำมันที่ผ่านความร้อนสูง

4.ธัญพืชแปรรูปต่างๆ

ธัญพืชที่ผ่านการแปรรูป เช่น ขนมปังขาว พาสต้า หรือข้าวขาว ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ก่อให้เกิดไขมันสะสมในตับได้ เนื่องจากธัญพืชเหล่านี้ผ่านกรรมวิธีการเอาเส้นใยออกไปทำให้เหลือแค่แป้งและน้ำตาล ตัวแป้งและน้ำตาลนี้จะแปรเปลี่ยนไปเป็นไขมัน ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนและไขมันพอกตับได้ง่าย ๆ โดยจากการศึกษาในคน 9000 คน พบว่า การกินขนมปังขาว 2 ชิ้นต่อวัน สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคอ้วนได้ถึง  40% เลยทีเดียว

5.อาหารทอด

อาหารทอดมักจะใช้ความร้อนสูงในการทอดเพื่อให้อาหารสุก ความร้อนที่สูงเกินไปจะก่อให้เกิดไขมันทรานส์ได้ง่าย ๆ อีกทั้งยังมีแคลอรี่สูง ส่งผลให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดไขมันพอกตับได้อย่างง่ายดาย

อาหารเป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดโรคหรือป้องกันโรคต่าง ๆ หากเราเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและป้องกันโรค แต่ถ้าเราเลือกกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ก็จะทำให้ร่างกายทรุดโทรมและเกิดโรคต่าง ๆได้ง่ายเช่นกัน

สามารถตามอ่านบทความดีๆของเราได้อีกช่องทางหนึ่งคือ https://cities.trueid.net

3สมุนไพรพื้นบ้านที่รักษาโรคได้ ไม่อยากป่วยไปหามากินซะ

3สมุนไพรพื้นบ้านที่รักษาโรคได้ ไม่อยากป่วยไปหามากินซะ

ผัก ผลไม้ หรือ สมุนไพรต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติที่มากด้วยคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยา สมุนไพรหลายชนิดยังรักษาโรคได้อย่างน่าทึ่งมาก นอกจากคุณสมบัติเด่นด้านการรักษาแล้วยังไม่ทำให้เกิดสารพิษตกค้างที่อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ ซึ่งสมุนไพรรักษาโรคเด่น ๆ เหล่านั้น ได้แก่

1.ขี้เหล็ก

ขี้เหล็กมีรสขมถึงขมมากทำให้คนยุคใหม่ไม่ชื่นชอบในรสชาติของมันเท่าไร แต่ถ้าเป็นคนสมัยก่อนแล้ว ขี้เหล็กถือเป็นยาจากธรรมชาติชั้นดีและเป็นอาหารที่ถูกปากคนสมัยก่อนมาก เนื่องจากสมัยก่อนสารปรุงแต่งอาหารนั้นไม่ได้ถูกผลิตอย่างแพร่หลาย การปรุงอาหารโดยใช้รสชาติโดยตรงของพืชผักและสมุนไพรจึงเด่นชัด เห็นได้จาก ขี้เหล็กถูกนำมาทำเป็นส่วนประกอบในอาหาร หลายอย่าง ทำให้ขี้เหล็กกลายเป็นสมุนไพรรักษาโรคอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสรรพคุณทางยาของขี้เหล็กคือ ช่วยแก้อาการท้องผูก บำรุงร่างกาย และมักถูกใช้เป็นยานอนหลับตามธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดี

2.ตำลึง

ผักริมรั้วที่ปลูกง่ายเนื่องจากมักจะขึ้นเองตามธรรมชาติ ทำให้ไม่มีสารเคมี แถมยังอร่อยและมีสรรพคุณทางยามากมาย ซึ่งสรรพคุณทางยาของตำลึงนั้นสามารถใช้ได้ทั้งต้น ไม่ว่าจะเป็น ราก ลำต้น ใบ หรือผล สามารถรักษาแผลในปาก ลดผื่นคันหรืออาการอักเสบจากการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย  บำรุงสายตา แก้ร้อนใน เสริมภูมิต้านทาน บำรุงกระดูก อีกทั้งยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ที่สำคัญตำลึงทั้งต้นยังนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานได้อีกด้วย ผักเลื้อยที่ชื่อ ตำลึงนั้นนอกจากจะถูกนำมารับประทานเพื่อรักษาโรคแล้วการบดใบตำลึงสดๆแล้วพอกหน้ายังจะช่วยบำรุงผิวหน้าทำให้ใบหน้าสดใสและผิวขาวขึ้นได้อีกด้วย  ที่สำคัญผักตำลึงสามารถนำมาประกอบอาหารอร่อยๆได้อย่างมากมาย เช่น แกงจืด แกงแค หรือต้มจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อยไปอีกแบบ

3.ผักเชียงดา

ผักเชียงดาเป็นสมุนไพรรักษาโรคที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผัก ฆ่าน้ำตาล เนื่องจากผักเชียงดามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และเร่งให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ช่วยลดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดี ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยปรับระดับอินซูลินในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลช่วยสร้างเนื้อเยื่อให้ตับอ่อน และล้างสารพิษในร่างกาย  ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคอ้วน และโรคเบาหวาน การใช้ผักเชียงดาเพื่อรักษาผู้ป่วยเบาหวานนั้น หากรับประทานผักเชียงดาเป็นผง ควรทานก่อนอาหารวันละ 8-12 กรัมเป็นประจำจะช่วยควบคุมและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ แต่สำหรับการทานผักเชียงดาสดต้องทานอย่างน้อยวันละ 50-100 กรัม โดยจะเลือก ต้ม แกงหรือจิ้มกับน้ำพริกก็ได้

จะเห็นได้ว่าผักสมุนไพรรักษาโรคพื้นบ้านเหล่านี้นอกจากจะราคาถูกและหาง่ายแล้ว สรรพคุณทางยาก็ยังเด่นมากทั้งช่วยบำรุงและรักษา หากอยากสุขภาพแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยง่าย ลองพิจารณาสมุนไพรเหล่านี้มาประกอบอาหารในแต่ละวัน

ผักผลไม้ที่มีสารตกค้างมากที่สุด และวิธีการล้างทำความสะอาด

ผักผลไม้ที่มีสารตกค้างมากที่สุด และวิธีการล้างทำความสะอาด

ผักผลไม้ที่เราซื้อมารับประทานในชีวิตประจำวันนั้น พบว่ามีการใช้สารเคมีในการปลูกทำให้เกิดการตกค้างอย่างมาก เรียกได้ว่า บางครั้งสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้มีมากกว่าอย่างอื่นเสียด้วยซ้ำ จากที่เมื่อก่อนเรามักคิดว่า การบริโภคผักผลไม้นั้นดีต่อสุขภาพ แต่สมัยนี้อาจไม่จริงเสมอไปเพราะสารเคมีที่ตกค้างในผักผลไม้ อาจทำให้เราเกิดโรคต่าง ๆ ได้  และวันนี้เราจะบอกถึง ผักหรือผลไม้ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าพบสารเคมีตกค้างมากที่สุดเพื่อน ๆ ควรระมัดระวังในการเลือกซื้อ หากซื้อมาแล้วควรล้างให้สะอาดค่ะ

ผักหรือผลไม้ที่มีสารตกค้างมากที่สุด ได้แก่

  1. ประเภทผักยอดนิยมที่หลายคนชอบรับประทาน ได้รับการตรวจพบว่า มีสารตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า พริกแดง กะเพรา และกะหล่ำปลี
  2. ประเภทผักพื้นบ้านที่ใคร ๆ ก็คิดว่าไม่น่าจะมีสารตกค้าง แต่ก็ตรวจพบว่ามีสารตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ใบบัวบก ชะอม ตำลึง และสายบัว
  3. ประเภทผลไม้แสนอร่อย หาง่าย ราคาถูกที่ใคร ๆ ต่างก็ไม่คิดว่ามันจะมีสารตกค้าง แต่ใครจะเชื่อว่าผลไม้เหล่านี้มีสารตกค้างเป็นจำนวนมาก เช่น   ส้ม องุ่น แก้วมังกร มะละกอ กล้วย มะพร้าว สับปะรด

ผักและผลไม้ที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่จะพบสารกำจัดศัตรูพืช  การเลือกซื้อผักผลไม้ที่ตรวจพบว่ามีอัตราสารเคมีตกค้างสูงจึงจำเป็นต้องได้รับการล้างทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อที่จะกำจัดสารเคมีตกค้างออกให้มากที่สุดเพื่อสุขภาพร่างกายของเราเอง

โดยการล้างผักและผลไม้ที่มีประสิทธิภาพควรทำดังนี้

  1. ล้างผักด้วยน้ำไหล เช่น นำผักที่เราซื้อมาใส่ลงในตะกร้าแล้ว เปิดน้ำใส่ผักแล้วปล่อยให้น้ำไหลไปเรื่อย ๆ วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ 25-65%
  2. ใส่ผงฟูหรือเบคกิ้งโซดา ครึ่งช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร จากนั้นแช่ผักลงไปสัก 15 นาที ก่อนนำมาล้างด้วยน้ำสะอาด อีก 1-2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารเคมีตกค้างได้ถึง 90-95%
  3. ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร จากนั้นนำผักไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 1-2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารเคมีตกค้าง 60-84%
  4. ปอกเปลือกให้สะอาด เช่น หากซื้อส้มมารับประทานอย่าใช้ปากปอกเปลือก ให้ใช้มือปอกเปลือกให้หมดแล้วค่อยทาน วิธีนี้ใช้ได้กับผักและผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ แตงกวา เด็ก ๆ หลายคนมักใช้ปากแกะเปลือกออกดังนั้นผู้ปกครองต้องระวัง

การเลือกซื้อผักผลไม้หากเราไม่ได้ปลูกเองให้คิดเอาไว้เสมอว่าอาจมีสารตกค้าง ดังนั้นก่อนนำไปรับประทานหรือปรุงอาหารควรล้างทำความสะอาดก่อนเพื่อกำจัดสารเคมีตกค้างออกไปให้มากที่สุด จะได้ไม่ไปสะสมในร่างกายก่อให้เกิดโรคร้ายแรงขึ้นในภายหลัง การเลือกซื้อผัก และควรเลือกซื้อผักตามฤดูกาลและเลือกผักที่มีสีและขนาดปกติไม่อวบอ้วน สีสวยจนเกินไป  การเลือกผลไม้เองก็ควรเลือกผลไม้ที่มีผิวสดใหม่ หากมีแมลงไต่ตามผลด้วยถือว่าปลอดภัยมากทีเดียว ดังนั้นควรสังเกตให้ดีจะช่วยลดสารเคมีที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้ค่ะ

7 ผลไม้วิตามินซีสูง กินต้านหวัดได้

7 ผลไม้วิตามินซีสูง กินต้านหวัดได้

 7 ผลไม้วิตามินซีสูง กินต้านหวัดได้

โรคหวัดเป็นโรคที่พบได้ทุกฤดูกาล แค่อากาศเปลี่ยนเราก็เป็นหวัดได้  โรคหวัดถึงแม้จะไม่ร้ายแรง เป็นแล้วหายเองได้ แต่ระหว่างที่เป็นไข้หวัดก็ทำให้เราทุกข์ทรมานอีกทั้งหวัดยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคตามมาอีกหลายๆโรค การป้องกันไข้หวัดนั้นมีหลายวิธีหนึ่งในวิธีที่ดีก็คือ การเลือกกินอาหารที่มีวิตามินซีสูง การรับประทานวิตามินซีอย่างน้อย 60 mg ต่อวันจะเพียงพอต่อความต้องการของคนปกติ แต่วิตามินซี  1000 mg ต่อวันจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายและบำรุงผิว ดังนั้นในบทความนี้จะบอกถึงผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่กินแล้วสามารถต้านเชื้อหวัดได้ เพียงแค่เรารับประทานผลไม้เหล่านี้ทุกวันไข้หวัดคงไม่เข้ามาใกล้เราอย่างแน่นอน

1.มะขามป้อม

มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก  ซึ่งถ้าเทียบกับแอปเปิลมะขามป้อมจะมีวิตามินซีสูงกว่าถึง 160 เท่า ในมะขามป้อม 100 กรัม จะมีวิตามินซี 276 mg เพียงแค่เรารับประทานมะขามป้อมแค่วันละ 1 ผล ก็จะได้รับวิตามินซีที่เพียงพอในแต่ละวัน แถมวิตามินซีในมะขามป้อมนั้นจะไม่ลดลงถึงแม้ว่าผลของมันจะแห้งหรือถูกเก็บไว้นานๆ  

2.ฝรั่ง

ฝรั่งก็จัดได้ว่าเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีวิตามินซีสูง ในฝรั่ง 165 กรัมจะมีวิตามินซีถึง 377 mg  ซึ่งสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด การรับประทานฝรั่งควรรับประทานทั้งเปลือกเพื่อให้ได้รับคุณค่าสารอาหารในฝรั่งอย่างครบถ้วน

3.กีวี

กีวีก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเช่นกัน กีวี 1 ลูก(100 กรัม)จะไดรับวิตามินซี 105 mg  การรับประทานกีวีวันละ 2 ผลจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอละกระต้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

4.ลิ้นจี่

ผลไม้พื้นบ้านของไทยที่หาง่ายตามฤดูกาลในลิ้นจี่ 100 กรัม มีวิตามินซี 71.5 mg ในตำราจีนโบราณได้นำลิ้นจี่มารักษาอาการหวัด ช่วยแก้อาการติดเชื้อในลำคอ บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และบรรเทาอาการคัดจมูก

5.มะละกอสุก

มะละกอเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานทั้งดิบและสุก ในมะละกอสุก 100 กรัม จะมีวิตามินซี 62 mg  ช่วยขับปัสสาวะแถมยังเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

6.สตอเบอรี่

ผลไม้หน้าตาดีที่คนนิยมอย่างมาก เพราะอร่อยและดีต่อสุขภาพ ในสตอเบอรี่100 กรัม จะมีวิตามินซี 60 mg ช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคต่างๆอีกทั้งยังช่วยบำรุงสายตาและลดอัตราการเสื่อมของจอประสาทตา

7.เงาะ

เงาะเป็นผลไม้รสหวารอร่อยที่มีวิตามินซีสูง เพราะใน เงาะ 100 กรัม จะมีวิตามินซี 53 mg ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ แต่การทานเงาะที่มากเกินไปอาจจะทำให้ท้องอืดหรือท้องผูกได้

ผักและผลไม้พื้นบ้านของไทยยังมีอีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างเช่น มะรุม พริกหวาน บล็อกโคลี่ ฯลฯ การได้รับวิตามินซีที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันจะช่วยให้ร่างกายของเราทำงานได้เป็นปกติ วิตามินซีที่ได้จากธรรมชาตินอกจากราคาไม่แพงแล้วยังมีสารอาหารอีกหลายชนิดที่ร่างกายได้ใช้ประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดีควรทานผักผลไม้ให้เพียงพอในทุกๆวัน

9 ประโยชน์ดี ๆ ของการกินแตงโมในระหว่างตั้งครรภ์

9 ประโยชน์ดี ๆ ของการกินแตงโมในระหว่างตั้งครรภ์

9 ประโยชน์ดี ๆ ของการกินแตงโมในระหว่างตั้งครรภ์

ฤดูร้อนที่กำลังจะย่างเข้ามาจะยิ่งน่ากังวลสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์นะคะ เพราะอากาศร้อนนั้นจะทำให้รู้สึกอึกอัดมากยิ่งขึ้น แต่มีสิ่งหนึ่งที่เยียวยาเราจากหน้าร้อนได้ดี นั่นก็คือแตงโม  เนื่องจากในแตงโมจะมีน้ำมากถึง 92 % ช่วยทำให้รู้สึกชุ่มชื้น แถมยังมีสารอาหารสำคัญอย่าง วิตามินเอ ,ซี,โพแทสเซียมและแมกนีเซียมอีกด้วยหากทานให้เหมาะสมก็จะเกิดประโยชน์หลายอย่างสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ ได้แก่

1.ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

ในระหว่างตั้งครรภ์หากดื่มน้ำไม่เพียงพอ อาจเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำได้ เมื่อขาดน้ำอาจเกิดปัญหาต่อน้ำคร่ำได้ การรับประทานแตงโมจะช่วยทดแทนการขาดน้ำ ทำให้คุณรู้สึกชุ่มชื้นและได้รับสารอาหารจำเป็นบางอย่างด้วย

2.แก้อาการท้องผูก

ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในระหว่างตั้งครรภ์ อาจจะทำให้เกิดปัญหาท้องผูกได้ง่าย ๆ  การรับประทานแตงโมที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักก็จะช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ง่ายและขับถ่ายสะดวกขึ้น

3.ช่วยชะล้างสารพิษหรือของเสีย

ด้วยความที่แตงโมมีน้ำเยอะทำให้ช่วยชะล้างสารพิษหรือของเสียที่อาจจะเป็นอันตรายออกจากร่างกายได้

4.ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้อง

ผู้หญิงร้อยละ 70-80มักจะได้รับวิตามินบี 6 ไม่เพียงพอซึ่งอาจจะมีอาการแพ้ท้องในระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งการแพ้ท้องนั้นก็มักจะมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน และการที่จะลดอาการแพ้ท้องได้ก็ต้องได้รับวิตามินบี 6 อย่างเพียงพอ และแตงโมก็ถือว่ามีวิตามินบี 6 สูง หญิงตั้งครรภ์ที่กินแตงโมเป็นประจำจึงพบอาการแพ้ท้องน้อยกว่าหญิงตั้งครรภ์ที่ไม่ได้รับประทานแตงโม

5.ช่วยสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

หญิงตั้งครรภ์ส่วนใหญ่ระบบภูมิคุ้มกันจะอ่อนแอ การรับประทานแตงโมจึงช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เพราะในแตงโมนั้นเป็นแหล่งที่ดีของวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ

6.ลดความดันโลหิต

หญิงตั้งครรภ์ที่มีความดันโลหิตสูงอาจจะทำให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษได้ การรับประทานแตงโมก็จะช่วยลดระดับความดันโลหิตและลดความเสี่ยงของโรคที่อาจจะกระทบทารกในครรภ์

7.ลดอาการจุกเสียดท้องเพราะอาหารไม่ย่อย

หญิงตั้งครรภ์ส่วนมากมักจะมีอาการจุกเสียดท้องเพราะอาหารไม่ย่อยเพิ่มมากขึ้น การรับประทานแตงโมจะช่วยทำให้ลำไส้ทำงานสะดวกและลดอาการจุกเสียดท้องได้

8.ลดการบวม

อีกหนึ่งเรื่องที่หญิงตั้งครรภ์ต้องเจอก็คือตัวบวม แขนบวม ขาบวม  ในแตงโมจะมีเบต้าแคโรทีน กรดโฟลิค วิตามิน B และ C สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดการบวมและยังลดการอักเสบที่อาจจะเกิดขึ้นอีกด้วย

9.ลดการเกิดตะคริว

หญิงตั้งครรภ์ที่ได้รับโพแทสเซียมต่ำ จะทำให้เกิดตะคริวได้ง่าย ในแตงโมยังมีโพแทสเซียมที่เหมาะสมที่จะช่วยลดการเกิดตะคริวได้

นอกจากข้อดีทั้ง 9 ข้อนี้แล้ว การรับประทานแตงโมในระหว่างตั้งครรภ์ยังช่วยลดการเกิดนิ่วในไต ลดการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และถึงแม้ว่าแตงโมจะมีประโยชน์มากมายแต่ก็ควรรับประทานให้เหมาะสมเพราะหากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดผลเสียบางอย่างได้ เช่น ลำไส้แปรปรวน,ภูมิแพ้หรือเป็นโรคเบาหวานได้