6 สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อยๆ

6 สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อยๆ

https://youtu.be/kLTHMZhENQY

6 สาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อยๆ

ตอนเด็กๆหลายๆคนคงจะเคยได้ยินเสียงกรนของคุณพ่อคุณแม่อยู่บ่อยๆ เมื่อสะดุ้งตื่นขึ้นมาได้ยินก็คงสร้างความรำคาญบ้าง แต่เด็กๆก็มักจะนอนหลับได้เร็ว แต่เมื่อเราโตขึ้นแล้วต้องเจอกับสภาพนอนกรน หรือสามีหรือภรรยานอนกรน คงไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากเมื่อเราโตขึ้น การนอนหลับก็ยากมากขึ้นไปด้วย คู่สามีภรรยาหลายคู่จึงประสบปัญหานอนไม่หลับเนื่องจากอีกฝ่ายนอนกรนเองก็เยอะ ซึ่งวันนี้ Sleep story ของเราจะมาพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักกับอาการนอนกรนอย่างลึกซึ้งกันค่ะ

การนอนกรนมักจะเกิดขึ้นเมื่ออากาศเดินทางผ่านท่อหายใจไม่สะดวก เพราะกล้ามเนื้อคอคลายตัวหรือหน่อยตัวทำให้ทางเดินหายใจแคบลง และเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในลำคอ เช่น เพดานอ่อน ทอลซินและลิ้นไก่ นอกจากนี้ยังอาจจะมีสาเหตุอื่นๆอีกที่ทำให้เกิดการอุดตันของทางเดินหายใจ เช่นต่อมทอลซิลโต  ลิ้นโต หรือคนอ้วนที่มีเนื้อเยื่อที่ผนังและลำคอมาก ทำให้ทางเดินหายใจแคบลงและอากาศเดินทางได้ไม่สะดวก

คนที่กรนเป็นประจำในตอนกลางคืน อาจจะนอนหลับได้ไม่เพียงพอและอาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า และอาการหงุดหงิดได้ง่าย ในตอนกลางวันซึ่งหากปล่อยไว้นานๆ ปัญหาสุขภาพก็จะเพิ่มข้นมาเป็นเงาตามตัวอีกแน่นอน และถ้าการนอนกรนนั้นทำให้คนข้างๆนอนไม่หลับ ก็อาจจะก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ตามมาอีกเช่นกัน

การนอนกรนในแต่ละคนอาจเกิดจากสาเหตุที่แตกต่างกัน การหาสาเหตุจึงเป็นสิ่งสำคัญค่ะ เพราะเมื่อคุณรู้สาเหตุคุณจะเข้าใจว่าทำไมคุณถึงกรนและจะได้หาวิธีการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องเพื่อการนอนหลับพักผ่อนที่ดีของคุณและคนข้างๆ โดยสาเหตุของการนอนกรนที่พบบ่อยๆก็คือ

1.อายุ

เมื่อคนเราอายุมากขึ้นกล้ามเนื้อในลำคอก็จะลดลงทำให้ภายในคอแคบลง ปัญหาทางด้านอายุคงไม่มีใครแก้ไขให้ตัวเองย้อนอายุให้น้อยลงได้ แต่ทางแก้ไขที่ทำได้ก็คือ การออกกำลังกายกล้ามเนื้อปากและลำคอบ่อยๆ ก็จะช่วยลดการนอนกรนลงได้

2.น้ำหนักตัวที่มากเกินไป

คนที่อ้วนหรือมีน้ำหนักตัวมากจะทำให้เกิดไขมันสะสมตรงช่วงลำคอมากเป็นพิเศษซึ่งไขมันส่วนเกินเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดการนอนกรนได้ ทางแก้ก็คือ ต้องออกกำลังกาย  ควบคุมอาหารหรือลดน้ำหนักลงบ้างก็จะช่วยลดการนอนกรนได้

3.เพศสภาพ

ผู้ชายมีทางเดินอากาศที่แคบกว่าผู้หญิงจึงทำให้ผู้ชายนั้นมีโอกาสในการนอนกรนมากกว่าผู้หญิง สาเหตุนี้ก็เหมือนกับอายุ ที่คุณไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเพศสภาพที่แท้จริงของตัวเองได้  ทางออกที่ดีก็คือการออกกำลังกายกล้ามเนื้อส่วนปากและลำคอให้แข็งแรงขึ้นค่ะ

4.ปัญหาจมูกและไซนัส

จมูกที่ตัน ไม่ว่าจะเกิดจากการคัดจมูกหรือหายใจไม่ออกก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการนอนกรนค่ะ

5.การดื่มแอลกอฮอล์การสูบบุหรี่และการใช้ยารักษาโรคบางชนิด จะส่งผลให้กล้ามเนื้อคลายตัวและทำให้การนอนกรนรุนแรงยิ่งขึ้น ทางออกก็ง่ายๆค่ะ คือ ลดละเลิกการแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ส่วนยารักษาโรคบางชนิดนั้นหากจำเป็นต้องใช้ประจำ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อที่แพทย์จะได้ปรับเปลี่ยนยาหรือหาทางแก้ไขที่ดีร่วมกันค่ะ

6.ท่านอน การนอนหงายจะทำให้กล้ามเนื้อในลำคอผ่อนคลายและปิดกั้นทางเดินหายใจ ดังนั้นการเปลี่ยนท่านอนก็จะช่วยลดการนอนกรนได้

การนอนกรนนะคะไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไปแล้ว  เพราะบางครั้งการนอนกรนก็บ่งบอกถึงภาวะหยุดหายใจขณะหลับซึ่งหากไม่รีบทำการรักษาอาจเสี่ยงต่อภัยสุขภาพที่ร้ายแรงได้  ซึ่งหากคุณหรือคนข้างๆของคุณนอนกรน ก็ต้องคอยหาสาเหตุแล้วรีบทำการแก้ไขปัญหานั้น และหากพบว่าคุณหรือคนข้างๆที่นอนกรนนั้นมีอาการกรนเสียงดังขั้นเรื่อยๆและรู้สึกเหนื่อยมากในระหว่างวัน หรือมีอาการอ้าปากค้างและหยุดหายใจหรือหายใจไม่ออกขณะนอนหลับ รวมไปถึงอาจมีการหลับไปในเวลาที่ไม่เหมาะสมเช่น ตอนกินอาหาร หรือกำลังพุดคุยกันอยู่นั้น ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วนค่ะ

3 เหตุผลสำคัญที่ทำไมคุณต้องหยุดใช้ SMATHPHONE ก่อนนอน

3 เหตุผลสำคัญที่ทำไมคุณต้องหยุดใช้ SMATHPHONE ก่อนนอน

https://youtu.be/fU_dtikk2Rs

3 เหตุผลสำคัญที่ทำไมคุณต้องหยุดใช้ SMATHPHONE ก่อนนอน

แทบจะทุกคนในปัจจุบันนี้ต้องมีสมาร์ทโฟน เพราะว่าสมาร์ทโฟนเป็นอุปกรณ์ที่มีความยอดเยี่ยมมากและสามารถใช้งานได้หลากหลาย ทั้งดูหนัง ฟังเพลง โทรหาหรือส่งข้อความหาใครที่ไหนก็ได้ และฟังก์ชั่นดีๆอีกมากมายที่หลายคนรู้กันดี และ ถึงแม้ว่า สมาร์ทโฟน จะมีประโยชน์และอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวันของเรามากมายยังไง แต่ยังมีอีกด้านหนึ่งของสมาร์ทโฟน ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ซึ่งหลายคนที่รู้ข้อมูลนี้แล้วอาจจะตกใจ เพราะมันน่ากลัวจริงๆค่ะ

คุณเคยได้ยินการแผ่รังสีไหมคะ แสงสีฟ้าที่มาจากโทรศัพท์มือถือนั่นแหละที่เป็นตัวการค่ะ

แสงสีฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของสเปกตรัมแสงเต็มรูปแบบ ซึ่งปกติแล้ว เราก็จะได้สัมผัสกับแสงอาทิตย์ในเวลากลางวันทุกวันอยู่แล้ว แต่การรับแสงสีฟ้าระดับสูงในเวลากลางคืนที่ถูกปล่อยออกมาจากสมาร์ทโฟนแท็บเล็ตแล็ปท็อปและหน้าจอ LED อื่น ๆ นั่นแหละที่อาจทำให้สายตาของเราแย่ลง แถมแสงสีฟ้านี้ยังไปยับยั้งการผลิตเมลาโทนิน ฮอร์โมนตามธรรมชาติที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อให้ร่างกายได้นอนหลับพักผ่อน

มีการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าแสงสีฟ้าในสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็คทรอนิกต่างๆส่งผลเสียต่อสุขภาพของมนุษย์เรา 3 ข้อหลักๆ ดังนี้

1.เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าแสงสีฟ้าจะทำให้นอนหลับยากในเวลากลางคืน อีกทั้งยังเกิดความเสี่ยงของการเป็นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก ซึ่งอธิบายง่ายๆก็คือ เมลาโทนิน เป็นอาวุธตามธรรมชาติของร่างกายที่ใช้ต่อต้านเซลล์มะเร็ง  ซึ่งเจ้าแสงสีฟ้านั้นจะยั้งการผลิตเมลาโทนิน เป็นผลให้เซลล์มะเร็งเริ่มก่อตัวขึ้นได้อย่างง่ายๆ

2.ทำให้นอนไม่หลับ

ตามที่กล่าวไปแล้วนะคะว่า แสงสีฟ้าจะยับยั้งการผลิตฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะกระตุ้นให้ร่างกายง่วงและพักผ่อนได้อย่างสมบูรณ์ แต่เมลาโทนินที่ผลิตมาไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดความเสี่ยงของโรคอีกหลายโรค เช่น โรคซึมเศร้า,โรคอ้วน,โรคความจำเสื่อมหรือมีปัญหาทางด้านความจำ,โรคหัวใจและหลอดเลือด,ริ้วรอยก่อนวัย,สายตาสั้น มีปัญหาในด้านการมองเห็น,เป็นคนเซื่องซึม ตอบสนองช้า

3.เกิดโรคต้อกระจก หรือดวงตาเสื่อสภาพ

แสงสีฟ้าจะทำลายเรตินาทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของดวงตาและเกิดต้อกระจกขึ้นได้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าการใช้สมาร์ทโฟนมากเกินไปในคนอายุ 35 ปีพบว่า พวกเขาเหล่านั้นมีปัญหาสายตาเช่นเดียวกับผู้สูงอายุเลยทีเดียว นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญที่เราทุกคนควรแก้ไขให้เร่งด่วนเพราะจะหมายถึงสุขภาพดวงตาและร่างกายของเราที่กำลังเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ

จากข้อมูลเหล่านี้ก็เพียงพอแล้วที่คุณจะต้องจัดสรรเวลาในเรื่องของการใช้สมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิคให้ดี ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ค่ะ

นอนไม่พอเสี่ยงต่อโรคร้าย ลองมาเช็ค10 ผลกระทบเบื้องต้นที่เกิดจากการนอนไม่พอ

นอนไม่พอเสี่ยงต่อโรคร้าย ลองมาเช็ค10 ผลกระทบเบื้องต้นที่เกิดจากการนอนไม่พอ

https://youtu.be/CIPi5iu7o80

นอนไม่พอเสี่ยงต่อโรคร้าย ลองมาเช็ค10 ผลกระทบเบื้องต้นที่เกิดจากการนอนไม่พอ

เราต่างรู้ดีว่า การอดนอนหรือนอนไม่พอนั้นเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพและเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคร้ายหลายชนิด วันนี้ sleep story ของเราจะมาบอกถึงผลกระทบเบื้องต้น 10 ข้อของการนอนไม่พอค่ะ ใครไม่อยากเจอกับผลกระทบเหล่านี้ต้องรีบแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตเสียใหม่ นะคะ เพื่อป้องกันปัญหาร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าค่ะ

ซึ่งผลกระทบแรกของการอดนอนได้แก่

1.มีความอ่อนเพลีย ง่วงนอน คิดอะไรไม่ค่อยออก ขาดแรงจูงใจ

2.มีอารมณ์หงุดหงิดง่าย หงุดหงิดบ่อยๆ และมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นที่จะเกิดภาวะซึมเศร้า

3.อารมณ์หรือความต้องการทางเพศลดลง

4.การทำงานของสมองบกพร่อง มีปัญหาในการเรียนรู้ ปัญหาในด้านความจำ และขาดสมาธิ

5.ความคิดสร้างสรรค์ลดลง ทักษะในการแก้ไขปัญหาต่างๆก็ลดน้อยลง และมีความลำบากในด้านการตัดสินใจ

6.ไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือจัดการกับความเครียดได้

7.เกิดริ้วรอยก่อนวัย ผิวเหี่ยวย่น หมองคล้ำ ไม่มีชีวิตชีวา

8.ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นหวัดบ่อย เสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆได้ง่าย และทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรืออ้วนขึ้นได้ง่ายๆ

9.มีความสามารถในการขับขี่ลดลง ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึงอาจจะเห็นภาพหลอนและมีอาการเพ้อได้

10.เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง, เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง, โรคหัวใจ, โรคอัลไซเมอร์และโรคมะเร็งบางชนิด

จะเห็นได้ว่า การอดนอนหรือนอนไม่พอนั้นมีผลกระทบร้ายแรงต่อสุขภาพ หากอดนอนเป็นบางครั้งอาจจะมีผลกระทบไม่มากนัก แต่หากอดนอนหรือนอนไม่พอติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆก็มีความเสี่ยงต่อปัญหาอีกหลายๆด้านดังที่ได้กล่าวไปแล้วนะคะ ดังนั้น sleep story จึงอยากชักชวนเพื่อนๆให้หันมาดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพร่างกายของเรา ง่ายเริ่มต้นด้วยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวันค่ะ

เผยความลับ จริงๆแล้วคนเราต้องการนอนกี่ชั่วโมงกันแน่

เผยความลับ จริงๆแล้วคนเราต้องการนอนกี่ชั่วโมงกันแน่

https://www.youtube.com/watch?v=LozxfLyOw9g

เผยความลับ จริงๆแล้วคนเราต้องการนอนกี่ชั่วโมงกันแน่

เพื่อนๆเชื่อไหมคะว่าเวลาที่เราได้นอนหลับกับเวลาที่ร่างกายของเราต้องการจริงๆสำหรับการนอนหลับนั้นมันแตกต่างกันมาก จากข้อมูลของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ได้ระบุเอาไว้ว่า ในสังคมที่เร่งรีบทุกวันนี้วัยผู้ใหญ่โดยเฉลี่ยแล้วจะนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน ซึ่งข้อมูลนี้อาจจะฟังดูดี แต่ในความเป็นจริงแล้วการนอนหลับที่น้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืนติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆจะทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะอดนอนเรื้อรัง

การอดนอนนะคะหากเป็นแค่วันสองวันอาจจะไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายรุนแรงเท่าไรนัก เราอาจจะรู้สึกแค่หงุดหงิด ง่วงซึมบ้าง แต่พอได้นอนหลับเต็มที่ในตอนกลางคืนร่างกายก็จะฟื้นตัวกลับมาสดชื่นได้อีกครั้งในวันถัดไป แต่หากเป็นการอดนอนเรื้อรังนั้นจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพในรอบด้าน ซึ่งผลกระทบเหล่านี้เราจะมาขยายความกันอีกทีในคลิปต่อๆไปนะคะ กลับเข้ามาในเรื่องของเวลาที่เหมาะสมในการนอนหลับของแต่ละวัยกันค่ะ

ซึ่งความต้องการในการนอนหลับก็จะแตกต่างกันไปตามวัย ซึ่งในวัยผู้ใหญ่ต้องการการนอนหลับระหว่าง 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเพื่อประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุดในวันรุ่งขึ้น แต่สำหรับเด็กและวัยรุ่นนั้นก็ต้องการการนอนหลับที่มากขึ้นไปอีก เดี๋ยวเราจะมาดูกันค่ะ ว่า

ในแต่ละช่วงวัย เราต้องกรการนอนหลับกี่ชั่วโมงกันแน่ค่ะ

เริ่มตั้งแต่ เด็กแรกเกิดจนถึง 3 เดือนนะคะ เด็กในวัยนี้จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 14-17 ชั่วโมงต่อคืน

เด็กอายุ 4-11 เดือน จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 12-15 ชั่วโมงต่อคืน

เด็กอายุ 1-2 ปี จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 11-14 ชั่วโมงต่อคืน

เด็กอายุ 3-5 ปี จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 10-13 ชั่วโมงต่อคืน

เด็กอายุ 6-13 ปี จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 9-11 ชั่วโมงต่อคืน

วัยรุ่นอายุ 14-17 ปี จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 8-10 ชั่วโมงต่อคืน

วัยผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 18-25 ปี จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 7-9ชั่วโมงต่อคืน

วัยผู้ใหญ่ที่มีอายุระหว่าง 26-64 ปี จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 7-9ชั่วโมงต่อคืน

และวัยผู้สูงอายุ จะต้องการการนอนหลับพักผ่อน 7-8 ชั่วโมงต่อคืนค่ะ

สำหรับวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุนะคะ ถึงแม้ว่าจะนอนหลับลึกๆหรือหลับนานๆแบบเด็กๆไม่ได้ แต่อย่างไรแล้วทั้งสองวัยนี้ก็ยังคงต้องการการนอนหลับอย่างๆน้อยๆ 7 ชั่วโมงต่อคืน แต่หากนอนหลับไม่พอจริงๆ หนทางแก้ที่ดีก็คือการงีบหลับบ้างในเวลากลางวันค่ะ

จากข้อมูลที่เราได้กล่าวไปแล้วนั้นหากเพื่อนๆต้องการมีสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตใจที่ดีควรนอนหลับให้ได้ตามที่ร่างกายต้องการค่ะ ซึ่งวิธีเช็คด้วยตัวเองง่ายๆว่าเรานอนหลับได้เพียงพอหรือเปล่าก็คือ ให้เราลองประเมินความรู้สึกของตนเองเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา รวมไปถึงการใช้ชีวิตระหว่างวัน หากคุณนอนหลับเพียงพอร่างกายก็จะสดชื่น กระปรี้ประเปร่าและตื่นตัวตลอดทั้งวัน แต่หาคุณรู้สึกง่วงหงาวหาวนอน อ่อนเพลีย หัวตื้อๆนั่นแปลว่าคุณนอนไม่พอนั่นเองค่ะ

6 อาหารหรือเครื่องดื่มที่ควรหามาทานก่อนนอนเพราะจะช่วยให้หลับสนิทได้ตลอดคืน

https://www.youtube.com/watch?v=9l7o0uv7HwQ

6 อาหารหรือเครื่องดื่มที่ควรหามาทานก่อนนอนเพราะจะช่วยให้หลับสนิทได้ตลอดคืน

การได้นอนหลับอย่างสบายและหลับสนิทตลอดคืนนั้นคงจะเป็นสิ่งที่หลายคนหวังเอาไว้ทุกๆคืนนะคะ เพราะหากเรานอนหลับได้อย่างเต็มที่ ตื่นเช้ามาเราก็จะรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ซึ่งหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมให้เรานอนหลับได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นก็คืออาหารและเครื่องดื่มที่เราดื่มเข้าไปนั่นเองค่ะ วันนี้ sleep story ของเราจะมาบอกถึงอาหารและเครื่องดื่ม 6 ชนิดที่ควรหามาทานประมาณ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอนเพราะจะช่วยให้การนอนหลับง่ายดายมากยิ่งขึ้นค่ะ

1.อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนต่างๆ เช่น ข้าวไม่ขัดสี ข้าวโอ๊ต มันเทศ ธัญพืช รวมถึงผักและผลไม้ที่มีแป้งสูงเช่น ข้าวโพด มันฝรั่ง กล้วย หากเป็นขนมปังควรเลือกเป็นขนมปังโฮลวีท

2.ถั่วสักหนึ่งกำมือ ถั่วนะคะเป็นแหล่งไขมันดีที่ส่งผลดีต่อระบบการทำงานของหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอัลมอนด์และวอลนัทที่จะช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะช่วยควบคุมการนอนหลับทำให้หลับสนิทและหลับง่ายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยลดการสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืนอีกด้วยค่ะ

3.คอตเทจชีส หรือชีสสด อาหารที่มีโปรตีนสูงอย่างคอตเทจชีสก็มีส่วนช่วยทำให้นอนหลับได้ง่ายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น เนื่องจากในคอตเทจชีสจะมีกรดอะมิโนทริปโตเฟ่นที่จะช่วยเพิ่มระดับของฮอร์โมนเซโรโทนินในร่างกาย โดยฮอร์โมนเซโรโทนินนี้นะคะเป็นสารเคมีหนึ่งที่ส่งผลต่อสมอง หากในสมองมีเซโรโทนินต่ำจะทำให้เรานอนไม่หลับ นั่นเองค่ะ

4.ดื่มชาสัก 1ถ้วยก่อนเข้านอน  หลายคนอาจจะกังวลว่าการดื่มชาที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนนั้นจะทำให้นอนหลับยาก แต่ว่าชาบางชนิดจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองของเราได้ผ่อนคลาย ซึ่งเมื่อร่างกายและสมองผ่อนคลายเราก็จะนอนหลับได้ง่ายและหลับสบายมากยิ่งขึ้น โดยชาที่มีคุณสมบัติในการผ่อนคลายได้แก่ ชาดอกคาโมไมล์ ชาขิงและชาสะระแหน่ เป็นต้นค่ะ

5.ดื่มนมอุ่นๆก่อนนอน   การดื่มนมอุ่นๆจะอุดมไปด้วยทริปโตเฟนซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นที่จะช่วยเสริมสร้างเมลาโทนินทำให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดีขึ้น อีกอย่างการดื่มนมอุ่นๆยังมีความสัมพันธ์ทางจิตใจเนื่องจากจะทำให้เรารู้สึกอบอุ่นเหมือนตอนเรายังเด็กจึงทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายและหลับง่ายมากยิ่งขึ้น

6.กินผลไม้บางชนิด ผลไม้ในท้องตลาดนอกจากจะช่วยบำรุงสุขภาพร่างกายแล้ว ผลไม้บางชนิดยังส่งผลดีต่อการนอนหลับของเราอีกด้วย เนื่องจากผลไม้เหล่านี้จะมีเมลาโทนินที่จะช่วยให้เรานอนหลับได้เร็วและสะดุ้งตื่นในตอนกลางคืนน้อยลง โยผลไม้เหล่านี้ได้แก่ กล้วย สับปะรด ส้ม กีวี ผลเบอร์รี่ต่างๆ, ลูกพรุน, ลูกเกดและลูกพลัม เป็นต้นค่ะ

การรับประทานอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดก็มีส่วนช่วยทำให้เรานอนหลับได้ง่ายและหลับได้ดีขึ้น ดังนั้นนะคะ เพื่อนๆที่มีปัญหานอนไม่หลับหรือนอนหลับยากลองไปหารับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มเหล่านี้ก่อนนอนสัก 1-2 ชั่วโมง และพยายามทำร่างกายและจิตใจให้ผ่อนคลายก็จะทำให้เพื่อนๆนอนหลับได้ง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ

3เคล็ดลับเลือกชุดนอนอย่างไรให้หลับสบายอย่างเต็มอิ่ม

3เคล็ดลับเลือกชุดนอนอย่างไรให้หลับสบายอย่างเต็มอิ่ม

3เคล็ดลับเลือกชุดนอนอย่างไรให้หลับสบายอย่างเต็มอิ่ม
3เคล็ดลับเลือกชุดนอนอย่างไรให้หลับสบายอย่างเต็มอิ่ม

3เคล็ดลับเลือกชุดนอนอย่างไรให้หลับสบายอย่างเต็มอิ่ม

การนอนหลับพักผ่อนเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งต่อสุขภาพร่างกาย  เนื่องจากการนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพออาจทำให้ผิวพรรณไม่สดใส แก่เร็ว อารมณ์หงุดหงิดง่ายและอาจทำให้กระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น การนอนหลับอย่างสนิทนั้นไม่ใช่เพียงแค่ดื่มนมอุ่นๆหรืออ่านหนังสือดีๆก่อนนอนเท่านั้น แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงอย่างมากคือ การเลือกชุดนอนที่เหมาะสม ดังนั้น เราจึงมี 3 เคล็ดลับดีๆในการเลือกชุดนอนให้หลับสบาย ตื่นมาสดใสอารมณ์ดีมาฝาก

1.เลือกเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับร่างกาย

การจะใส่ชุดนอนให้สบายตัวมากที่สุด สิ่งจำเป็นอันดับต้นๆ คือการเลือกเนื้อผ้าที่เหมาะสมกับอุณหภูมิร่างกายมากที่สุด ซึ่งเนื้อผ้าที่แนะนำได้แก่

ผ้าฝ้ายธรรมชาติ เป็นผ้าที่มีน้ำหนักเบา นุ่ม นอกจากนี้ยังระบายอากาศได้ดี ทำให้อากาศไหลเวียนอยู่ตลอดไม่ระคายเคืองต่อผิว แต่ผ้าฝ้ายอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่มีเหงื่อออกมาในตอนกลางคืนเพราะเป็นผ้าที่ดูดซับความชื้น อีกทั้งยังไม่เหมาะกับการสวมใส่ในสภาพอากาศที่หนาวเย็น เนื่องจากอาจจะทำให้ร่างกายของคุณหนาวเย็นมากขึ้นไปอีก สั่งซื้อชุดนอนผ้าฝ้ายสวยๆที่นี่

ผ้าไหม ถือเป็นผ้าที่ช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายได้เป็นอย่างดี การสวมชุดนอนผ้าไหมในช่วงฤดูร้อนจะช่วยให้คุณรู้สึกเย็นสบาย แต่ถ้าสวมชุดนอนผ้าไหมในช่วงฤดูหนาวผ้าไหมก็จะช่วยให้คุณรู้สึกอุ่น แต่ผ้าไหมเป็นผ้าที่ลื่นอาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ไม่ชอบความลื่นของผ้า อีกทั้งยังเป็นเนื้อผ้าที่มีราคาแพง การซักก็ต้องซักแห้งทำให้เกิดความยุ่งยาก สั่งซื้อชุดนอนผ้าไหมสวยๆที่นี่

ผ้าสักหลาด  เป็นชุดนอนที่เหมาะสำหรับฤดูหนาว เพราะเนื้อผ้าที่นุ่มของผ้าสักหลาดจะช่วยให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายแถมยังระบายอากาศได้ดี ช่วยให้รู้สึกสดชื่นโดยที่ไม่ร้อนจนเกินไป แต่คงไม่เหมาะกับการใส่ในสภาพอากาศปกติหรือฤดูร้อนเพราะจะยิ่งทำให้คุณอึดอัดไม่สบายตัวสั่งซื้อชุดนอนผ้าสักหลาดที่นี่

ผ้าไหมแบมบู เป็นผ้าที่ทำขึ้นจากเส้นใยของพืช ใส่แล้วรู้สึกนุ่มและสบายผิว ให้ความชุ่มชื้นตามธรรมชาติเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและ ระบายอากาศได้ดี ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ เหมาะมากสำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้เนื่องจากมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียที่อาจทำให้อาการภูมิแพ้รุนแรงขึ้น สั่งซื้อชุดนอนผ้าไหมแบมบูได้ที่นี่

ผ้าขนสัตว์หรือผ้าขนแกะ ผ้าชนิดนี้จะช่วยให้ความอบอุ่นต่อร่างกายเหมาะสำหรับสวมใส่ในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศหนาวเย็นมากเป็นพิเศษ แต่อาจจะไม่เหมาะกับฤดูร้อน เพราะผ้าเหล่านี้ไม่ระบายอากาศอีกทั้งยังให้ความร้อนที่สูง อาจทำให้นอนไม่หลับ รู้สึกไม่สบายตัว ที่สำคัญผ้าขนสัตว์อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวได้ โดยเฉพาะผิวที่บอบบาง สั่งซื้อชุดนอนผ้าขนแกะได้ที่นี่

2.เลือกขนาดให้เหมาะสม

การสวมชุดนอนที่รัดหรือหลวมจนเกินไปจะทำให้รู้สึกอึดอัด พลิกตัวไม่สะดวก หรืออาจจะทำให้เกิดการคัน และระคายเคืองได้ ทางที่ดีควรเลือกชุดนอนที่มีขนาดพอเหมาะกับร่างกายไม่ใหญ่เกินไปจนเกะกะเวลาพลิกตัวหรือรัดแน่นเกินไปจนหายใจไม่ออก

3.อย่าลืมดูแลเท้าของคุณด้วย

การนอนหลับได้อย่างสบายอีกสิ่งหนึ่งที่หลายคนละเลยกัน นั่นคือ เท้า การที่เท้าเย็นมากเกินไปอาจทำให้นอนไม่หลับ แต่เท้าที่ร้อนเกินไปก็อาจจะทำให้คุณไม่สบายตัวและนอนไม่หลับเช่นกัน ในฤดูหนาวการสวมถุงเท้าก็จะช่วยให้คุณหลับได้ง่ายยิ่งขึ้น

การเลือกชุดนอนให้เหมาะสม เป็นสิ่งหนึ่งที่จะกำหนดได้ว่า คืนนั้นคุณจะนอนหลับได้อย่างสบายหรือเกิดอารมณ์หงุดหงิดเนื่องจากความไม่สบายตัว ดังนั้นลองใช้เทคนิคเหล่านี้ดูแล้วคุณจะพบว่า การนอนหลับสบายไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

https://www.youtube.com/watch?v=RamjwsSRJJw
ปัญหานอนไม่หลับรักษาได้ง่ายๆด้วยเคล็ดลับต่อไปนี้

ปัญหานอนไม่หลับรักษาได้ง่ายๆด้วยเคล็ดลับต่อไปนี้

ปัญหานอนไม่หลับรักษาได้ง่ายๆด้วยเคล็ดลับต่อไปนี้
ปัญหานอนไม่หลับรักษาได้ง่ายๆด้วยเคล็ดลับต่อไปนี้

ปัญหานอนไม่หลับรักษาได้ง่ายๆด้วยเคล็ดลับต่อไปนี้

การนอนหลับอย่างเพียงพอและมีคุณภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อทุกชีวิตทั้งในมนุษย์และสัตว์ เพราะการนอนหลับที่ดีจะส่งผลต่อสุขภาพดีทั้งกายและใจควบคู่กันไป

แพทย์หญิงนฤชาจิรกาลวสาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคความผิดปกติจากการนอนหลับโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทยให้ข้อมูลเกี่ยวกับการนอนหลับที่ดีว่า คุณภาพการนอนหลับที่ดีไม่สามารถบอกเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้เพราะจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน แต่มีผลการวิจัยพบว่าจำนวนชั่วโมงที่ดีที่สุดในการนอนหลับที่ดีจะส่งผลต่อสุขภาพที่ดีและช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตจากโรคหัวใจ ซึ่งการนอนหลับที่ดีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7-8 ชั่วโมง โดยหากมีการตื่นระหว่างการนอน 1 ถึง 2 ครั้งแล้วใช้เวลาไม่นานสามารถกลับไปนอนต่อได้ก็ยังถือเป็นสภาวะที่ปกติ

ส่วนปัญหาการนอนที่ผิดปกติและพบว่าเป็นกันมากก็คือ ปัญหาการนอนไม่หลับหรือโรคนอนไม่หลับ ซึ่งนอกจากจะทำให้สภาพร่างกายย่ำแย่แล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการทำงานหรือการใช้ชีวิตประจำวันอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้สูงอายุพบว่าประสบกับปัญหาการนอนไม่หลับมากกว่าวัยอื่นๆ

แพทย์หญิง นฤชา ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า โรคนอนไม่หลับอาจมีลักษณะอาการได้หลายๆแบบ เช่น หลับยากในตอนต้น โดยใช้เวลามากกว่า 30 นาที หรือตื่นบ่อยๆแล้วหลับยาก ตื่นเช้ากว่าปกติร่วมกับมีอาการตื่นแล้วไม่สดชื่น รู้สึกง่วงเมื่อเวลาทำงาน โดยโลกนอนไม่หลับอาจจะเป็นชั่วคราวเมื่อภาวะกระตุ้นหายไปก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่หากมีอาการนอนไม่หลับเกิน 3 เดือน ให้ถือว่าเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง

สาเหตุส่วนใหญ่ของโรคนอนไม่หลับเกิดจาก

1.เกิดจากความเกี่ยวข้องกับโรคจิตเวช เช่นโรคซึมเศร้า  โดยโรคเหล่านี้จะส่งผลทำให้เรานอนไม่หลับได้

2.เกิดจากมีโรคประจำตัวที่กระตุ้นให้เกิดการนอนไม่หลับ เช่นอาการปวดเรื้อรัง โรคหอบหืดที่ควบคุมไม่ดี โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ควบคุมไม่ดีเป็นต้น

3.เกิดจากสุขภาพการนอนที่ไม่ดี เช่นมีการทำกิจกรรมบนเตียง ทั้งการดูโทรทัศน์ การเล่นโทรศัพท์มือถือเวลาใกล้นอน เนื่องจากแสงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านั้นจะไปรบกวนการหลั่งของฮอร์โมนที่ช่วยในการหลับที่เรียกว่าเมลาโทนินจึงทำให้เกิดการนอนหลับยากมากยิ่งขึ้น

โดยส่วนใหญ่แล้วการรักษาแพทย์จะหาสาเหตุที่แน่ชัดก่อนเพื่อประเมินและวินิจฉัยว่าโรคนอนไม่หลับเกิดจากสาเหตุใด และมีอาการใดร่วมด้วยหรือไม่ เช่นภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ภาวะขากระตุกขณะหลับหรือภาวะทางจิตเวชที่ได้กล่าวมาข้างต้น โดยรวมเหล่านี้อาจจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เกิดการนอนไม่หลับได้ จากนั้นจึงไปแก้ไขที่ต้นเหตุเพื่อการรักษา

วิธีการรักษาโรคนอนไม่หลับ

โดยทั่วไปแล้วโรคนอนไม่หลับสามารถรักษาได้ทั้งแบบรักษาโดยการใช้ยาและไม่ใช้ยา ซึ่งโดยทั่วไปจะเริ่มจากการไม่ใช้ยาก่อน ด้วยการปรับพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและการกินอาหาร ส่วนการใช้ยานอนหลับนั้นจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของแพทย์เพื่อความปลอดภัย

การปรับพฤติกรรมจะประกอบไปด้วยการเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดียวกันเป็นประจำทุกวัน หลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจกระตุ้นให้เกิดการตื่นหรือก่อให้เกิดความกังวลในช่วง 1 ชั่วโมงก่อนนอน เช่นการดูหนังที่ตื่นเต้น การคิดวนไปวนมาเรื่องงานหรือแผนงานในวันรุ่งขึ้น รวมไปถึงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ชากาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนก่อนนอน เนื่องจากคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวทำให้นอนหลับได้ยาก โดยผู้ที่มีโรคนอนไม่หลับ แนะนำว่าไม่ควรดื่มกาแฟหลังเวลาเที่ยง การหลีกเลี่ยงการมีนาฬิกาในห้องนอนก็จะช่วยทำให้นอนหลับได้เร็วยิ่งขึ้นที่สำคัญภายในห้องนอนต้องมีความมืดเงียบและมีอุณหภูมิที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมอื่นๆนอกเหนือจากการนอนเช่นกิจกรรมทางเพศบนเตียงหรือการดูโทรทัศน์หรือทานขนมเป็นต้น

หลังจากปรับพฤติกรรมแล้วหากยังมีอาการของโรคนอนไม่หลับจนกระทบต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อการรักษาที่ดีก่อนที่การนอนหลับจะทำลายสุขภาพด้านอื่นๆของคุณต่อไปในภายภาคหน้า

ดูข้อมุลสุขภาพดีอื่นๆที่นี่

รักษาโรคนอนไม่หลับด้วยวิธีสะกดจิต

รักษาโรคนอนไม่หลับด้วยวิธีสะกดจิต

หนึ่งกลวิธีทางเลือกของการรักษาโรคนอนไม่หลับที่ได้รับความนิยมทางหนึ่ง ก็คือ วิธีการสะกดจิต เพื่อช่วยเปิดจิตใต้สำนึกและสร้างพฤติกรรมใหม่ โดยวันนี้จะเป็นเคสหนึ่งของการบำบัดโรคนอนไม่หลับด้วยการสะกดจิต จาก ดร.ภาคิน ธราธรศิริ ที่เคยบันทึกเอาไว้ มีใจความที่น่าสนใจดังนี้

ผมนอนไม่หลับมาสิบปีแล้วครับ

นายหลับไม่ลง (ซึ่งขอใช้ชื่อย่อว่านาย ล.) อายุประมาณ 40 ปี มาพบผมพร้อมใบหน้าที่เหลืองซีด นาย ล. เล่าถึงปัญหาให้ฟังว่านอนไม่หลับมาสิบกว่าปีแล้ว เริ่มจากเมื่ออายุประมาณ 30 ตนเป็นโรคหนองในเทียม นาย ล. แต่งงานแล้วได้ปีเศษ ยังไม่มีบุตร ด้วยความที่มีความรู้น้อยจึงคิดว่าเป็นโรคฝีธรรมดาเดี๋ยวก็หาย และไม่น่าจะร้ายแรงเพราะเขาไม่เที่ยวผู้หญิง และภรรยาก็ไม่มีเหตุที่จะให้ไปติดโรคมาจากใคร

นาย ล. รักษาตัวเองด้วยวิธีการง่าย ๆ คือซื้อยาแก้อักเสบกิน พอเห็นว่าใกล้หายแล้วก็เลิก เป็นอย่างนี้ 3 เดือน ปรากฏว่าอาการแย่ลงเลยไปพบแพทย์ ก็ได้ยามากิน แต่กินไม่เป็นเวลา และไม่ครบตามกำหนด เวลาผ่านไปอีก 3 เดือน หลังจากเปลี่ยนหมออีก 2 คน อาการก็แย่ลงอีก แพทย์รายสุดท้ายที่รักษาให้นาย ล หายได้นั้น ย้ำนักย้ำหนาว่าต้องกินยาให้ครบและให้เป็นเวลา ซึ่งนับว่าแก้ปัญหานาย ล ได้อย่างแท้จริงและเด็ดขาด เพราะอีกเกือบเดือนต่อมาเขาก็หายขาดจากโรคหนองในเทียม แต่คุณหมอท่านนั้นกลับฝากผลงานไว้กับนาย ล ชนิดที่เขาไม่อาจจะลืมได้ตลอด 10 ปี นั่นคือ คำพูดประโยคหนึ่งในการพบกันครั้งแรก คือ ?ทิ้งไว้นานอย่างนี้ โอกาสหาย 30 เปอร์เซ็นต์?

คำพูดนั้นจะพูดตามหลักทางการแพทย์ หรือพูดเชิงดุคนป่วยให้กินยาให้ครบ หรือพูดไปเพราะคะนองปากหรือไม่ไม่มีใครทราบ แต่นาย ล บอกผมว่า คำพูดนั้นทำให้เขานอนไม่หลับเลยตลอดคืนนั้น เพราะตามประสาชาวบ้านคิดว่าโอกาสหาย 30 เปอร์เซ็นต์ แปลว่าโอกาสที่จะหายจากโรคน้อยเหลือเกิน สิ่งนั้นทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของนาย ล จนหมด ถ้าอวัยวะเพศของเขาเป็นอะไรไป เขาต้องสูญเสียความสุขทางเพศ เขาอาจสูญเสียเมีย และไม่มีโอกาสที่จะมีลูกตลอดชีวิต ทั้งสามสิ่งนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของผู้ชายคนหนึ่ง

นับจากนั้น นาย ล ไม่เคยนอนหลับเต็มอิ่มเลยสักคืนเดียว ถ้าไม่ดื่มเหล้าหรือกินยานอนหลับ จากเดิมเข้านอนเวลา 5 ทุ่ม และตื่น 7 โมงเช้า เขากลับข่มตาหลับไม่ลง ต้องนอนกระสับกระส่ายกว่าจะหลับด้วยความอ่อนเพลียตอนตี 2 ถึง ตี3 และตื่นอย่างงัวเงีย 9 ถึง 10 โมงเช้าเสมอมา เขาออกกำลังกาย ดื่มเหล้าเล็กน้อย ไม่สูบบุหรี่ มีอาชีพที่รายได้ดี แต่เสี่ยงเล็กน้อย นั่นคือเจ้ามือหวย นาย ล ประสบปัญหานี้ได้ 2 เดือนกว่าจึงติดสินใจไปพบแพทย์ แพทย์ได้จ่ายยาประเภทคลายเครียดกล่อมประสาท และยานอนหลับ เขากินยาอยู่นานเกือบปีก็ไม่หาย จึงย้ายหมอไปเรื่อยก็ไม่ดีขึ้น จนต้องไปพบจิตแพทย์และนักจิตวิทยาตามลำดับ

การให้คำแนะนำของนักจิตวิทยาควบคู่กับการจ่ายยาของหมอ ทำให้เขามีอาการดีขึ้น แต่เขาขาดทั้งสองสิ่งไม่ได้ ต้องไปพบแพทย์เพื่อรับยา และพบนักจิตแพทย์เพื่อพูดคุยให้ผ่อนคลายครั้งละกว่าครึ่งชั่วโมง อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เขาทำอย่างนี้อยู่ถึงแปดปีเต็ม จนตัวเองสรุปว่าถ้าขืนปล่อยอย่างนี้คงต้องอายุสั้นแน่ ๆ ถ้าไม่เพราะกินยามากเกินไปก็คงถูกรถชนตาย เพราะเขาประสบผลข้างเคียงซึ่งเชื่อว่าเกิดจาการใช้ยา คือทำให้เกิดอาการหลงลืม และอ่อนเพลียในบางครั้ง และการพบกับนักจิตวิทยาในช่วงหลัง ๆ ไม่ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นนอกจากรู้สึกว่าเสียเวลา

ในขณะที่รับการรักษาปกติอยู่นั้น นาย ล ก็หันไปพึ่งวัดพึ่งวา การเข้าวัดยิ่งทำให้เขานอนไม่หลับ เพราะเขารู้สึกว่าอาชีพที่ทำอยู่นั้น ผิดทั้งกฎหมายาบ้านเมืองและศีลธรรม ทำให้คิดไปว่าอาการหลับไม่ลงเกิดจากผลกรรมที่ทำ ประกอบกับเคยไปเข้าสำนักเจ้าเข้าทรง ถามไถ่ว่าตัวเองเป็นอะไรหนักหนา ถึงได้มีเวรมีกรรมให้นอนข่มตาหลับไม่ลงอย่างนี้ ผลปรากฏว่า เจ้าที่มาประทับร่างทรงนั้น กล่าวว่านาย ล มีบาปกรรมแต่ชาติปางก่อน เจ้ากรรมนายเวรจึงตามทวงหนี้กรรม สรุปว่านาย ล ไม่มีวันแก้ปัญหานี้ได้แน่ เชื่อแบบง่าย ๆ ว่าให้ผมช่วยสะกดจิตเพื่อให้เขาลืมเหตุการณ์ที่คอยหลอกหลอนตัวเองมาตลอดชีวิต นับจากวาจาอมตะของแพทย์ท่านนั้น

ผมให้ข้อมูลแก่เขาว่า บางคนอาจแก้ปัญหาได้เพียงครั้งแรกที่มาพบ แต่บางคนอาจต้องใช้เวลามากกว่านั้น และการสะกดจิตให้ได้ดี การมาพบครั้งต่อไปไม่ควรทิ้งช่วงเวลามากกว่า 7 วัน เขายินดีเพราะรู้สึกว่าไม่มีทางเลือกอีกแล้ว ขอให้นอนหลับสบายสักคืนโดยไม่ต้องใช้ยานอนหลับหรือต้องกินเหล้าจนเมาหลับตลอดสิบปีที่ผ่านมาก็มีความสุขแล้ว ผมสะกดจิตเพื่อทำให้จิตมีความสงบนิ่ง และรอรับคำสั่งที่จะหลับได้ง่ายขึ้น เมื่อการสะกดจิตครั้งแรกผ่านไป ผมได้มอบซีดีที่บันทึกเสียงการสะกดจิตให้เพื่อฟังก่อนนอนทุกคืน อีก 2 สัปดาห์ต่อมา นาย ล โทรฯ มาเพื่อขอนัดเวลาพบผม เขาดีขึ้นในวันที่ 4-10 ตลอด 5 วันหลังนี้นอนไม่หลับ ตามทฤษฏีแล้วเขาต้องการการสะกดจิตตรงมากกว่า 1 ครั้ง หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าการสะกดจิตสด (การฟังซีดีถือเป็นการสะกดจิตแห้ง) ครั้งที่ 2 ผ่านไป คราวนี้นาย ล มาพบหลังจากเวลาผ่านไป 9 วัน เขาดีขึ้น แต่นอนไม่หลับในช่วง 2 วันสุดท้าย ผลข้างเคียงอื่น ๆ จากการกินยาและดื่มเหล้าหายไป เพราะเขาสามารถหยุดการกินยาได้นับตั้งแต่ที่มาพบผมครั้งแรก แต่ยังต้องกินเหล้าเป็นบางครั้ง

เขาให้ข้อมูลอีกว่าการตรวจความดันโลหิตครั้งสุดท้ายโดยแพทย์มีผลลดลง แพทย์ยังถามว่าไปทำอะไรมาถึงดูหน้าตาผ่องใสขึ้น ผมสะกดจิตให้เป็นครั้งที่ 3 และกล่าวว่าเขาไม่ต้องมาพบอีกแล้ว เพราะนับจากวันนี้จะหยุดปัญหานอนไม่หลับได้แล้ว

เขาจากไปพร้อมรอยยิ้มและแววตาขอบคุณอย่างซาบซึ้ง ผมก็อวยพรเขาด้วยรอยยิ้มภาคภูมิและแววตาเปี่ยมสุข เชื่อมั่นว่าสิ่งที่เราเรียนรู้มาไม่สูญเปล่า และได้สร้างคุณค่าอย่างน่าอัศจรรย์ให้แก่ชายคนหนึ่งที่เกือบจะหมดสิ้นความหวังในชีวิตแล้ว ในปัญหาที่เรื้อรังมาตลอดสิบปี

อีก 32 วันต่อมา นาย ล มาพบอีกครั้ง บอกว่านอนไม่หลับในช่วง 5 วันสุดท้าย ผมแปลกใจมาก เพราะตามทฤษฏีและจากประสบการณ์ของตัวเอง หากเขาแก้ปัญหาตัวเองได้นานถึงเกือบเดือนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอย่างนี้อีก

ผมได้สะกดจิตเพื่อย้อนอดีต เพราะเริ่มสงสัยว่าปัญหาการนอนไม่หลับของนาย ล อาจจะมีมากกว่าที่เขาให้ข้อมูล การสะกดจิตเพื่อสอบถามเหตุการณ์ด้วยการย้อนอดีตได้เริ่มขึ้น นาย ล ขจัดความวิตกกังวลเรื่องโรคหนองในเทียมไปได้แล้ว เขาไม่มีความหวาดระแวงอะไรทั้งในแง่ของชีวิตคู่ ครอบครัว เพื่อนฝูง หรืออาชีพการงาน นาย ล มีสุขภาพจิตดีมากหากไม่มีเรื่องของการนอนไม่หลับเข้ามาแทรก มีเพื่อนฝูง มีความพอใจในชีวิตและรายได้ มีความสุขกับอาชีพการงาน ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีความทุกข์ กระทั่งย้อนไปถึงชีวิตในวัยเด็กกับพ่อกับแม่กับญาติพี่น้อง หรือเรื่องราวอื่น ๆ ที่ผ่านมา ไม่มีเหตุที่จะกระตุ้นให้การนอนไม่หลับของนาย ล กลับมาอีก ผมสะกดจิตเพื่อสอบถามคำถามนี้นานเกือบ 2 ชั่วโมง จนตัวเองก็รู้สึกเข้าตาจนเหมือนกัน

กระทั่งได้พบจากคำถามสุดท้าย ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้นาย ล ต้องกลับมาพบผมอีก นั่นคือจิตใต้สำนึกกระตุ้นนาย ล ให้มาพบผม เพราะความเคยชินตลอด 10 ปีที่ผ่านมาที่ต้องมาพบแพทย์หรือนักจิตวิทยาอย่างน้อยเดือนละครั้ง ผมได้บอกแก่เขาและให้เขาแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยตัวเอง นั่นคือเมื่อรู้สึกว่าจะนอนไม่หลับ เพียงแต่บอกกับตัวเองว่าเราสามารถนอนหลับได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาใครอีกแล้ว เราหายจากอาการที่เป็นอยู่โดยสมบูรณ์แล้ว

หลังจากนั้นอีก 3 เดือน ผมได้รับข้อความผ่านเครื่องบันทึกโทรศัพท์อัตโนมัติจากนาย ล ขอบคุณที่ทำให้เขามีอิสรภาพหลังจากติดอยู่ในคุกแห่งการนอนไม่หลังถึง 10 ปีเต็ม

จากเรื่องราวที่ ดร.ภาคิน ธราธรศิริ เล่ามา แสดงให้เห็นว่าการรักษาโรคนอนไม่หลับด้วยการสะกดจิตนั้น ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และเป็นแนวทางที่น่าสนใจ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับอันตรายที่คุณคาดไม่ถึง

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นอันตรายมากต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต ที่อาจนำไปสู่ปัญหาอื่นๆอีกมากมาย และส่งผลกระทบต่อสมองและหัวใจอีกครั้งยังเพิ่มโอกาสของโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจชนิดต่างๆรวมไปถึงการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติอีกด้วย

ปกติการนอนหลับของคนเรา มักจะถูกรบกวนบ่อยๆอยู่แล้วคนปกติจะสะดุ้งตื่นในเวลากลางคืนอย่างน้อย 1 วินาทีสูงสุด 2 นาทีในช่วงของการนอนหลับ  แต่คนที่เกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับมักจะถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องสูงถึง 200 เท่าในช่วงเวลา 8 ชั่วโมงของการนอนหลับที่สำคัญคนที่ประสบกับภาวะนี้อาจยังไม่ทันสังเกตเห็นอาการของตัวเอง จนกว่าจะได้ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การหยุดหายใจในขณะหลับจะส่งผลทำให้เราไม่สามารถนอนหลับได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งการนอนหลับได้อย่างไม่เต็มอิ่มนี้จะทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า สูญเสียความทรงจำ ขาดสมาธิ ระดับพลังงานต่ำและมีอาการง่วงนอนในเวลากลางวันและหนักที่สุดอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุจากการทำงานและอุบัติเหตุบนท้องถนนได้

ภาวะหยุดหายใจขณะหลับมีผลเสียต่อสุขภาพของเราอย่างไร

เช่นเดียวกับภาวะร่างกายสมองของเราก็ต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ ปกติการนอนหลับของคนเราจะไม่สามารถนอนหลับได้อย่างรวดเดียวตลอดทั้งคืนแต่จะมีการสะดุ้งตื่นเป็นช่วงๆและนอนหลับต่อมากถึง 8 รอบในหนึ่งคืน แต่คนที่เป็นโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาในทุกรอบแล้วจากนั้นพวกเขาก็จะต้องกลับเข้าสู่ช่วงแรกของการนอนหลับ เป็นเหตุให้สมองได้รับการพักผ่อนอย่างไม่เพียงพอ และในเด็กที่เกิดปัญหาโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับนี้จะมีความเสี่ยงต่อการเสื่อมสลายของสารสีเทาในสมองที่เป็นส่วนของเชาว์ปัญญาและพลังของความรู้ความเข้าใจ

นอกจากสมองส่วนนี้แล้วภาวะหยุดหายใจขณะหลับยังส่งผลกระทบต่อระบบควบคุมการหายใจจึงมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะเป็นเหตุให้อวัยวะบางอย่างอุดกั้นทางเดินหายใจซึ่งมีผลเสียอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับยังได้รับปริมาณออกซิเจนที่ไม่เพียงพอระหว่างการนอนหลับ ส่งผลทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคความดันโลหิตสูง หัวใจวายและหัวใจทำงานผิดปกติ

ดังนั้นหากในระหว่างคืนคุณรู้สึกสะดุ้งตื่นบ่อยๆแล้วนอนหลับยาก รุ่งเช้าขึ้นมารู้สึกเหนื่อยหน่าย ง่วงนอนบ่อยๆ ไม่มีแรง คิดอะไรไม่ค่อยออก ถ้าเกิดเป็นติดต่อกันนานๆให้คาดการณ์เอาไว้ว่าอาจจะเป็นโรคภาวะหยุดหายใจขณะหลับ และในทางที่ดีที่สุดควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจดูอาการและทำการรักษาอย่างทันท่วงที

การหาวหมายถึงอะไรและทำไมคนเราถึงต้องหาว?

การหาวหมายถึงอะไรและทำไมคนเราถึงต้องหาว?

การหาวหมายถึงอะไรและทำไมคนเราถึงต้องหาว?
การหาวหมายถึงอะไรและทำไมคนเราถึงต้องหาว?

สัตว์ทุกชนิดสามารถหาวได้ทุกอย่างตั้งแต่กิ้งก่ามาจนถึงมนุษย์ ซึ่งการหาวนี้มนุษย์เราทำมาตั้งแต่ยังเป็นทารกอยู่ในท้อง หลายคนจึงมีข้อสงสัยว่าทำไมเราถึงหาวที่เราหาวเพราะเราเหนื่อยหรือเปล่าวันนี้เราจะมีคำตอบนั้นมาให้ค่ะ


ทำไมคนเราถึงหาว?

เรามักจะหาวเวลาเราง่วงนอนหรือเบื่อ แต่การวิจัยพบว่าเรายังสามารถหาวได้อีกเมื่อเรารู้สึกเครียด ซึ่งนักวิจัยได้สังเกตว่านักกีฬาหาวมากขึ้นก่อนที่จะทำการแข่งขัน ซึ่งพลร่มเองก็หาวก่อนที่จะกระโดดออกจากเครื่องบินด้วยเหมือนกัน  จึงเป็นความจริงที่ว่า คนเราสามารถหาวในสถานการณ์ที่หลากหลายไม่ใช่จำกัดแค่ว่าเราหาวเพราะเราเบื่อหรือเหนื่อยเท่านั้น

การหาวเป็นกระบวนการหนึ่งของร่างกาย ที่ช่วยรักษาอุณหภูมิและรักษาความปลอดภัยให้กับสมอง เนื่องจากการหาวจะช่วยให้สมองและร่างกายของเราเปลี่ยนสภาพ มันจะช่วยทำให้เรากระปรี้กระเป๋าขึ้นเมื่อเรารู้สึกง่วง ที่สำคัญการหาวจะทำให้เรารู้รู้สึกตื่นตัวเมื่อเรารู้สึกเบื่อ แถมยังทำให้สงบลงเมื่อเรารู้สึกกังวล

โดยจากข้อมูลเหล่านี้จึงสามารถบ่งบอกได้ว่าการหาวเปรียบเสมือนเป็นเทอร์โมมิเตอร์ของร่างกาย โดยการวิจัยล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเราหาวเพื่อป้องกันสมองของเราจากความร้อนที่สูงเกินไป ซึ่งสมองมักมีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อมันรู้สึกเย็น เมื่อคุณหาวจึงกลายเป็นวิธีระบายอากาศร้อนจากร่างกายออกมาและนำอากาศเย็นเข้ามาในตัวเพื่อให้สมองรู้สึกสบายยิ่งขึ้น

การหาวมากเกินไปหมายถึงอะไร?

หลายคนคิดว่าเราหาวเป็นปกติเมื่อเรานอนไม่พอหรือง่วงนอน นั่นก็ไม่ได้ผิดแต่ยังมีสาเหตุอีกหลายประการที่จะทำให้เราหาวได้ เช่น สภาวะสุขภาพบางอย่างก็อาจจะเป็นต้นเหตุของการหาวมากกว่าปกติ ซึ่งบางคนก็มีอาการหาวมากเกินไปเมื่อพวกเขากำลังจะมีอาการหัวใจวาย อีกทั้งการหาวมากขึ้นก็ยังพบในคนที่เป็นโรคลมชัก โรคปวดศีรษะ โรคไมเกรน โรคจิตเภทบางชนิด และโรคหลอดเลือดตีบ

ที่น่าสนใจคือโรคเหล่านี้จะเชื่อมโยงกับความผิดปกติของอุณหภูมิในร่างกายของเรา เมื่อร่างกายมีปัญหาในการรักษาอุณหภูมิมันก็จะทำให้เกิดกระบวนการหาวขึ้นมา ซึ่งจากข้อมูลทางสถิติพบว่าผู้ที่เป็นโรคลมชักบางครั้งมักจะมีอาการหาวก่อนที่จะมีอาการชักและการหาวก็เป็นสัญญาณของอาการไมเกรน อาจเป็นไปได้ว่าความผิดปกติทางระบบประสาททำให้สมองร้อนเกินไป และเมื่อสมองมีอุณหภูมิที่ร้อนเกินไปร่างกายจึงทำให้เกิดการหาวมากขึ้นเพื่อที่จะระบายอากาศและทำให้สมองเย็นลง

การหาวสามารถติดต่อกันได้หรือไม่?

หลายคนคงจะมีประสบการณ์ที่ว่าเมื่ือเห็นใครบางคนหาวแล้วเราก็จะต้องหาวตามในทันทีทันใด ไม่เว้นแม้แต่ขณะที่เราดูรูปของคนที่กำลังหาวมันก็จะเป็นตัวกระตุ้นให้เรารู้สึกหาวได้ จึงทำให้มีคนคิดว่าการหาวเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง  แต่ในทางการแพทย์แล้วก็ยังมีการถกเถียงกันมากมายเกี่ยวกับสาเหตุที่เกิดขึ้นจากการหาว

สาเหตุหนึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าการหาวติดต่อกันเป็นสัญญาณของความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งการศึกษาหนึ่งเคยระบุเอาไว้ว่า เด็กที่อายุน้อยกว่า 4 ขวบไม่ได้หาวเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างหาวรวมถึงเด็กออทิสติกก็มีแนวโน้มที่จะหาวน้อยลงหลังจากที่เห็นคนอื่นๆหาว ซึ่งในการศึกษานี้ แสดงให้เห็นว่า คนที่มีการรับรู้น้อยมักจะหาวน้อยเวลาเห็นคนอื่นหาว

ทฤษฎีของการหาวทำให้สมองเย็นลงนั้นจะสามารถอธิบายเกี่ยวกับสาเหตุที่เราหาวทั้งหมดโดยธรรมชาติ ซึ่งเป็นการหาวที่ติดต่อกันแต่สำหรับตอนนี้ทั้งหมดก็คือ เป็นเพียงทฤษฎีเท่านั้น การวิจัยในอนาคตอาจพิสูจน์ว่าจริงหรือไม่จริงก็ได้ แต่ยังไงเสียที่เราหาวก็ไม่ได้มีแค่เราเหนื่อยหรือเราง่วงแต่ยังมีระบบรักษาความปลอดภัยของร่างกายและสมองร่วมด้วย