แค่เปลี่ยน 4 พฤติกรรม สุขภาพดีก็ถามหา

แค่เปลี่ยน 4 พฤติกรรม สุขภาพดีก็ถามหา

เพื่อนๆหลานคนคงทราบดีอยู่แล้วว่าพฤติกรรมหรือการใช้ชีวิตหลายอย่างอาจส่งผลให้ร่างกายของเราทรุดโทรมและเกิดโรคได้ง่าย การป้องกันนั้นก็ไม่ได้ยาก เพียงแค่เราเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต บางอย่างที่ไม่ดีออกไปและเพิ่มนิสัยส่งเสริมสุขภาพดีง่าย ๆมาแทน  เช่น

1. ดื่มนมในตอนเช้า ทำให้ลดน้ำหนักได้

นมถือเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งในการลดน้ำหนักแถมร่างกายก็ได้สารอาหารครบถ้วน เพียงดื่มนม 1 แก้วในระหว่างการกินอาหารเช้า จะช่วยให้รู้สึกอิ่มนาน และลดความอยากอาหารลง ช่วยลดการกินจุบจิบระหว่างวันได้ เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าพูดลอยๆนะคะ เพราะมี ผลการสำรวจของ American Journal of Clinical Nutrition ยืนยัน โดย พบว่าผู้ที่ดื่มนมร่วมกับอาหารเช้า สามารถลดน้ำหนักได้ถึง 2 กิโลกรัม แต่การดื่มนมให้ได้ประโยชน์มากที่สุด คือเลือกดื่มนมที่มีไขมันต่ำ ไม่ผสมนมผง หรือสารให้ความหวาน อย่างน้ำตาลหรือครีมเทียมต่าง ๆ

2.ดื่มแอลกอฮอล์เพื่อบำรุงหัวใจและหลอดเลือด

แอลกอฮอล์อาจจะเป็นเครื่องดื่มที่หลายคนคิดว่าส่งผลเสียตอสุขภาพอย่างร้ายแรง แต่การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยเป็นยารักษาอาการต่าง ๆ ได้ ซึ่งพระชื่อดังท่านหนึ่งก็เคยบอกไว้ว่า ยาเสพติดหรือสุราหากกินเพื่อเป็นยาถือว่าไม่ผิดกฎ แถมจากผลการวิจัยของประเทศฮอลแลนด์ก็พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์ 1 แก้วต่อวันจะช่วยให้ร่างกายสูบฉีดเลือดได้ดี อีกทั้งยังช่วยแก้อาการความดันโลหิตต่ำได้อีกด้วย

3.กินปลามื้อเย็นช่วยให้สมองสดชื่นและความจำดี

การกินปลาในมื้อเย็น จะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานไม่หนักจนเกินไป เพราะ ปลาจำพวก ปลาแซลมอน ปลาเทราท์ ปลาทู ปลาซาร์ดีนและปลาอื่น ๆ โดยเฉพาะปลาทะเล จะมีไขมันดี จำนวนมาก และยังเต็มไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงสมองและหลอดเลือดต่าง ๆ การกินปลาเป็นประจำจึงช่วยให้สมองสดชื่น ปลอดโปร่ง และความจำดี การกินปลาให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรเลือกกินแบบ ย่าง นึ่ง หรือต้ม แทนการทอด

4.จิบชาบ่อย ๆ  ป้องกันโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน

การจิบชาบ่อย ๆ อย่างน้อย 3 แก้วต่อวัน นอกจากจะช่วยลดความอยากอาหารส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักแล้ว การจิบชา ยังลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน  เพราะน้ำชาจะมีสารต้านอนุมูลอิสระคุณภาพสูง ที่ช่วยให้เส้นเลือดได้สูบฉีดและไหลเวียนได้สะดวกและนอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ ได้อีกด้วย 

เห็นไหมคะว่าแค่เราเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้โดยไม่ต้องเสียเวลาหรือเสียเงินแพง ๆ เลย ที่ผ่านมา หากรู้สึกว่าคุณกำลังสร้างพฤติกรรมที่ทำร้ายร่างกายอยู่ ลองเปลี่ยนมาทำพฤติกรรมเหล่านี้สักเล็กน้อยก่อนก็ได้ คุณจะเห็นว่า สุขภาพร่างกายของคุณดีขึ้นแบบฉับไว ห่างไกลหมอเลยทีเดียว

ติดตามบทความอื่นๆของเราได้ที่ https://cities.trueid.net

3สมุนไพรพื้นบ้านที่รักษาโรคได้ ไม่อยากป่วยไปหามากินซะ

3สมุนไพรพื้นบ้านที่รักษาโรคได้ ไม่อยากป่วยไปหามากินซะ

ผัก ผลไม้ หรือ สมุนไพรต่างๆนั้นเป็นสิ่งที่ได้จากธรรมชาติที่มากด้วยคุณค่าทางอาหารและสรรพคุณทางยา สมุนไพรหลายชนิดยังรักษาโรคได้อย่างน่าทึ่งมาก นอกจากคุณสมบัติเด่นด้านการรักษาแล้วยังไม่ทำให้เกิดสารพิษตกค้างที่อาจจะส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวได้ ซึ่งสมุนไพรรักษาโรคเด่น ๆ เหล่านั้น ได้แก่

1.ขี้เหล็ก

ขี้เหล็กมีรสขมถึงขมมากทำให้คนยุคใหม่ไม่ชื่นชอบในรสชาติของมันเท่าไร แต่ถ้าเป็นคนสมัยก่อนแล้ว ขี้เหล็กถือเป็นยาจากธรรมชาติชั้นดีและเป็นอาหารที่ถูกปากคนสมัยก่อนมาก เนื่องจากสมัยก่อนสารปรุงแต่งอาหารนั้นไม่ได้ถูกผลิตอย่างแพร่หลาย การปรุงอาหารโดยใช้รสชาติโดยตรงของพืชผักและสมุนไพรจึงเด่นชัด เห็นได้จาก ขี้เหล็กถูกนำมาทำเป็นส่วนประกอบในอาหาร หลายอย่าง ทำให้ขี้เหล็กกลายเป็นสมุนไพรรักษาโรคอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งสรรพคุณทางยาของขี้เหล็กคือ ช่วยแก้อาการท้องผูก บำรุงร่างกาย และมักถูกใช้เป็นยานอนหลับตามธรรมชาติที่ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและนอนหลับได้ดี

2.ตำลึง

ผักริมรั้วที่ปลูกง่ายเนื่องจากมักจะขึ้นเองตามธรรมชาติ ทำให้ไม่มีสารเคมี แถมยังอร่อยและมีสรรพคุณทางยามากมาย ซึ่งสรรพคุณทางยาของตำลึงนั้นสามารถใช้ได้ทั้งต้น ไม่ว่าจะเป็น ราก ลำต้น ใบ หรือผล สามารถรักษาแผลในปาก ลดผื่นคันหรืออาการอักเสบจากการถูกแมลงสัตว์กัดต่อย  บำรุงสายตา แก้ร้อนใน เสริมภูมิต้านทาน บำรุงกระดูก อีกทั้งยังช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดี ที่สำคัญตำลึงทั้งต้นยังนำมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานได้อีกด้วย ผักเลื้อยที่ชื่อ ตำลึงนั้นนอกจากจะถูกนำมารับประทานเพื่อรักษาโรคแล้วการบดใบตำลึงสดๆแล้วพอกหน้ายังจะช่วยบำรุงผิวหน้าทำให้ใบหน้าสดใสและผิวขาวขึ้นได้อีกด้วย  ที่สำคัญผักตำลึงสามารถนำมาประกอบอาหารอร่อยๆได้อย่างมากมาย เช่น แกงจืด แกงแค หรือต้มจิ้มกับน้ำพริกก็อร่อยไปอีกแบบ

3.ผักเชียงดา

ผักเชียงดาเป็นสมุนไพรรักษาโรคที่ขึ้นชื่อว่าเป็นผัก ฆ่าน้ำตาล เนื่องจากผักเชียงดามีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และเร่งให้ระบบเผาผลาญไขมันทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ช่วยลดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ อีกทั้งยังช่วยให้ระบบเลือดไหลเวียนดี ควบคุมการทำงานของระบบต่างๆของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยปรับระดับอินซูลินในร่างกายให้อยู่ในภาวะสมดุลช่วยสร้างเนื้อเยื่อให้ตับอ่อน และล้างสารพิษในร่างกาย  ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดอุดตัน โรคอ้วน และโรคเบาหวาน การใช้ผักเชียงดาเพื่อรักษาผู้ป่วยเบาหวานนั้น หากรับประทานผักเชียงดาเป็นผง ควรทานก่อนอาหารวันละ 8-12 กรัมเป็นประจำจะช่วยควบคุมและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ แต่สำหรับการทานผักเชียงดาสดต้องทานอย่างน้อยวันละ 50-100 กรัม โดยจะเลือก ต้ม แกงหรือจิ้มกับน้ำพริกก็ได้

จะเห็นได้ว่าผักสมุนไพรรักษาโรคพื้นบ้านเหล่านี้นอกจากจะราคาถูกและหาง่ายแล้ว สรรพคุณทางยาก็ยังเด่นมากทั้งช่วยบำรุงและรักษา หากอยากสุขภาพแข็งแรงและไม่เจ็บป่วยง่าย ลองพิจารณาสมุนไพรเหล่านี้มาประกอบอาหารในแต่ละวัน

3 อุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยรับมือกับไข้หวัด

3 อุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยรับมือกับไข้หวัด

3 อุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยรับมือกับไข้หวัด

การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศอย่างกะทันหัน อาจส่งผลต่อการเป็นหวัดได้ง่าย ๆ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะฤดูไหนก็ตามก็สามารถป่วยไข้และเป็นไข้หวัดได้ ไข้หวัดอาจเป็นโรคที่รักษาให้หายได้ด้วยตัวเอง แต่ไข้หวัดถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีอาจเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ ในบทความนี้จะบอกถึงอุปกรณ์สำคัญ 3 อย่างที่จะช่วยรับมือกับไข้หวัดได้ค่ะ

1.เครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย หรือ ปรอทวัดไข้

เมื่อเด็กๆในบ้านป่วยเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกายเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากหากมีไข้สูงมากๆจะเป็นอันตรายต่อเด็กเล็กๆได้ การเช็ดตัวบ่อยๆหากมีไข้ ให้ทานยาลดไข้ และพักผ่อนให้เพียงพอ จากนั้นหมั่นคอยวัดอุณหภูมิของร่างกายเด็กเป็นประจำ และหากพบว่าเด็กมีไข้สูงเกิน 40 องศาให้รีบพาไปหาหมอโดยด่วน

2.เครื่องพ่นไอน้ำหรือเครื่องทำให้ชื้น

เวลาที่เป็นไข้หวัดจะรู้สึกอากาศแห้งหายใจลำบาก  เมื่อภายในจมูกแห้งจนเกินไปขนเส้นเล็กๆที่ช่วยปกป้องรูจมูกก็จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นเราควรเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศภายในบ้าน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการแสบจมูกหรือรูจมูกบวมหรืออักเสบ ช่วยให้หายใจได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อเวลาเป็นไข้หวัดจะทำให้เราหายใจได้ยากมาก การหลีกเลี่ยงฝุ่นละอองหรือควันก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่ต้องทำเพราะควันหรือฝุ่นละอองจะทำให้เราหายใจยากมากขึ้นไปอีก

3.ที่ใส่สบู่เหลวแบบกด

การล้างมือเป็นสิ่งจำเป็นมากในช่วงที่เป็นหวัด การใช้สบู่ก้อนในการล้างมืออาจจะไม่เหมาะนักในช่วงที่ป่วยไข้ เพราะจุลินทรีย์ต่างๆเช่น แบคทีเรียและเชื้อไวรัสจะเจริญเติบโตได้ดี ตามสภาพแวดล้อมของห้องน้ำการใช้ที่ใส่สบู่เหลวแบบกด จะช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคและป้องกันสมาชิกคนอื่นๆในครอบครัวติดเชื้อโรคอีกด้วย

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นไขเหวัด

การดูแลตัวเองหรือเด็กๆในครอบครัวที่เป็นหวัดก็สำคัญ เพราะโรคหวัดเป็นต้นเหตุของสารพัดโรคควรรีบรักษาโดย

  • นอนหลับพักผ่อนให้มากๆ ในช่วงที่ไม่สบายร่างกายจะต้องการการพักผ่อนและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หากยังฝืนใช้ร่างกาย อาการจะทรุดลงหรือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆตามมา
  • กินอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ใส่เสื้อผ้าหนาๆและหลีกเลี่ยงการอาบน้ำเย็นหรือดื่มน้ำเย็น
  • ดื่มน้ำสะอาดให้มากๆเพื่อช่วยระบายความร้อนจากพิษไข้และช่วยลดหรือละลายเสมหะ

อาการแทรกซ้อนที่ควรรีบไปพบแพทย์

ไข้หวัดอาจเกิดอาการแทรกซ้อนหลายอย่างที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอีกหลายๆโรค ควรสังเกตตัวเองหรือเด็กๆที่เป็นไข้หวัด หากพวกเขามีอาการแทรกซ้อนดังต่อไปนี้ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อวินิจฉัยโรคและทำการรักษาอย่างทันท่วงที

  • ถ้ามีอาการไอมาก หายใจผิดปกติ หายใจเร็วหรือมีอาการหอบ เหนื่อย หายใจมีเสียงดัง หรือหายใจแรงจนชายโครงบุ๋ม หรือในเด็กที่มีอาการเซื่องซึม มุดูดนม อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคปอดบวม ปอดอักเสบหรือโรคหลอดลมอักเสบได้
  • มีอาการปวดในหูมาก หูอื้อ หรือมีหูน้ำหนวกไหลออกมา
  • มีผื่นขึ้นตามร่างกาย อาเจียน ปวดหัวมาก ไข้สูงกินยาลดไข้ก็ไม่หาย หรือเป็นนานกว่า 3 วันขึ้นไปเพราะอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไข้เลือดออก

การดูแลตัวเองหรือคนในครอบครัวที่เป็นหวัดทำได้ไม่ยาก ควรดูแลอาหารการกิน หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับอากาศเย็นมากๆทำร่างกายให้อบอุ่น พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงฝุ่นละอองหรือควันต่างๆ ก็จะสามารถช่วยให้เรารับมือกับโรคไข้หวัดได้ แต่ควรหมั่นสังเกตอาการหากมีอาการแทรกซ้อนต่างๆควรรีบไปพบแพทย์

ท้องเสียอาจนำมาซึ่ง 4 โรคร้าย เพราะร่างกายเตือนเราแล้ว

ท้องเสียอาจนำมาซึ่ง 4 โรคร้าย เพราะร่างกายเตือนเราแล้ว

ท้องเสียอาจนำมาซึ่ง 4 โรคร้าย เพราะร่างกายเตือนเราแล้ว

การท้องเสียบ่อย ๆ อาจทำให้หลายคนคิดว่าวันนี้คงไปกินอะไรผิดสำแดงมาแน่นอน ซึ่งก็ไม่ผิดทั้งหมดนะคะเพราะการกินอาหารก็เป็นหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้ท้องเสียได้เช่นกัน  แต่หากท้องเสียบ่อยนั้น ยังสามารถบอกเหตุล่วงหน้าของการเกิดโรคอีกหลายชนิดและ เมื่อร่างกายส่งสัญญาณเตือนออกมาในรูปแบบของอาการท้องเสีย จะมีโอกาสเป็นโรคอะไรบ้าง ไปดูกัน

1.โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

การกินอาหารที่มีรสจัดมากเกินไป การแพ้อาหารหรือการกินอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียบางอย่าง  จะทำให้สำไล้เป็นแผลและเกิดการอักเสบ ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายทำงานผิดปกติ เกิดอาการท้องเสียหรือถ่ายเหลวบ่อย ๆ  บางรายอาจมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและเป็นตะคริวได้ง่าย นอกจากนี้ยังอาจมีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออกมาก ปวดหัว หรือปวดตามกล้ามเนื้อต่าง ๆ ร่วมด้วย

2.โรคเบาหวาน

โรคเบาหวานนอกจากเป็นโรคที่มักเกิดจากพันธุกรรมแต่ก็ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน และพฤติกรรมเหล่านี้ ก็ทำให้ผู้คนป่วยเป็นโรคเบาหวานกันมากขึ้นในปัจจุบัน  คนที่เป็นโรคเบาหวาน ไม่ใช่ว่าจะมีรูปร่างอ้วนอย่างเดียว ผู้ป่วยโรคเบาหวานบางคนอาจตัวผอมเพราะน้ำหนักขึ้นลงอย่างรวดเร็ว สาเหตุการเกิดโรคนี้มาจากนิสัยเสียหลายอย่าง เช่น  กินอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไปแถมยังไม่ยอมออกกำลังกาย ในบางรายที่เป็นโรคเบาหวาน มักมีอาการท้องผูกหรือท้องเสียสลับกันไป มีการหิวน้ำและปัสสาวะบ่อย แผลหายช้า รู้สึกอ่อนเพลีย ตาพร่ามัว หรือเกิดอาการน้ำหนักลดแบบหาสาเหตุไม่ได้  บางรายอาจมีอาการมึนงง กระสับกระส่าย และสับสน

3.โรคไทรอยด์เป็นพิษ

การถ่ายเหลวหรือท้องเสียบ่อย เป็นอาการหนึ่งที่อาจเกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษได้ เพราะต่อมไทรอยด์จะช่วยควบคุมการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย แต่หากไทรอยด์เป็นพิษจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย มือสั่น  ใจเต้นเร็ว อ่อนเพลียและลำไส้บีบตัวเร็วทำให้เกิดการถ่ายเหลวหรือท้องเสียบ่อย ๆ

4.โรคตับอ่อนอักเสบ

โรคตับอ่อนอักเสบ เป็นอีกโรคหนึ่งที่เป็นภัยร้ายต่อระบบทางเดินอาหาร สาเหตุของการเกิดโรคนี้มักเกิดจาก การดื่มแอลกอฮอล์อย่างหนัก และเป็นนิ่วในถุงน้ำดี การอักเสบของตับอ่อน จะแบ่งออกได้ 2 อย่างคือ การอักเสบแบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง โดยการอักเสบแบบเฉียบพลัน จะมีอาการปวดท้องอย่างมากและปวดตลอดเวลา อีกทั้งยังมีอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย การอักเสบแบบเรื้อรัง จะมีอาการปวดท้องแต่ไม่มาก แต่มักจะมีอาการข้างเคียงอื่น ๆ  เช่น น้ำหนักลด ตาเหลืองหรือถ่ายอุจจาระแล้วมีน้ำมันลอยอยู่ เป็นต้น

ดังนั้นนะคะหากเพื่อนๆสังเกตเห็นว่าตนเองหรือคนที่คุณรักมีอาการท้องเสียบ่อยๆอย่าลืมพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจอาการอย่างเร่งด่วน เพราะอาการท้องเสียนอกจากโรคเหล่านี้แล้ว ยังเกิดได้จากผลข้างเคียงของยารักษาโรคบางชนิด หรือเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีรสเปรี้ยวจัดจนเกินไป บางรายอาจแพ้สารเคมีหรือการใช้มือสัมผัสกับสิ่งสกปรกแล้วไม่ล้างมือให้สะอาด ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของอาการท้องเสียได้ ดังนั้นทางที่ดี หากมีอาการแทรกซ้อนต่าง ๆ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการค่ะ

8 ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเลิกดื่มน้ำอัดลม

8 ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเลิกดื่มน้ำอัดลม

8 ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อเลิกดื่มน้ำอัดลม

เราคนหนึ่งที่ชอบดื่มน้ำอัดลมมาก ก่อนหน้านี้จะเรียกว่าดื่มแทนน้ำเลยก็ว่าได้ ที่ชอบเพราะเวลาดื่มแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยและสดชื่น แต่หลัง ๆ เรามีปัญหาสุขภาพเยอะมากจนหมอสั่งให้เลิกดื่มน้ำอัดลม เราก็เลยอยากจะเอาผลลัทธ์เมื่อเราเลิกดื่มน้ำอัดลมมาฝากเพื่อน ๆ

 1.ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 2

อันนี้คุณหมอเป็นคนบอก หมอบอกว่าหากดื่มน้ำอัดลมบ่อยไปโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นี่ก็จะมาเยือน เพราะโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต หนึ่งในพฤติกรรมการกินที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 คือ การดื่มน้ำอัดลมเพราะร่างกายจะกระตุ้นให้ตับอ่อนผลิตอินซูลินออกมามากกว่าปกติ

2.น้ำหนักลดลงอย่างง่าย ๆ ไม่ต้องออกแรงเยอะ

อย่างที่รู้ ๆ กัน ในน้ำอัดลมมีน้ำตาลสูงมาก และน้ำตาลนั่นแหละเป็นตัวการของความอ้วนอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว น้ำตาลในน้ำอัดลมนั้นร่างกายจะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้เร็วมาก และถ้าร่างกายนำไปใช้ไม่ทัน ก็จะไปสะสมเป็นไขมัน บ่อเกิดของความอ้วนไงล่ะ แต่ว่าแรกๆมันยากมากเลยนะที่ต้องเปลี่ยนจากน้ำอัดลมมาเป็นน้ำเปล่า เพราะน้ำเปล่ามันไม่อร่อยเลย แต่ไม่อยากป่วยเราก็ต้องทำนะ

3.ทำให้ไตแข็งแรง

การดื่มน้ำอัดลมจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคไตและหนักขึ้นอาจทำให้ไตวายได้ โดยคุณหมอบอกเราว่าผู้หญิงที่ดื่มน้ำอัดลมทุกวันจะทำให้การทำงานของตับและไตลดลงเมื่อเทียบกับคนไม่ได้ดื่ม

4.ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวกับหัวใจ

ตอนที่เราดื่มน้ำอัดลม เรารู้สึกได้เลยนะว่าบางครั้งหัวใจเราเต้นแรงและเราก็รู้สึกเหนื่อยมาก อีกทั้งการดื่มน้ำอัดลมมีโอกาสเกิดหัวใจวายมากกว่า 20% แต่พอเรางดหรือเลิกดื่มน้ำอัดลมรู้สึกได้เลยว่าหัวใจแข็งแรงขึ้น เหนื่อยยากขึ้น ใจสั่นลดลง ความดันลดลง และปวดหัวน้อยลงด้วย

5.ป้องกันโรคสมองเสื่อม

อันนี้เรากลัวมากๆเพราะงานที่เราทำต้องใช้ความจำซะส่วนใหญ่ แต่ทุกครั้งเวลาที่เรากินของหวานๆโดยเฉพาะน้ำอัดลมมันจะทำให้เราสดชื่นมาก แต่บางวันกินมากก็ง่วงนะแต่พอลดลงรู้สึกได้เลยว่าเราสามารถทำให้สมองสดชื่นได้ด้วยการออกกำลังกาย หรือฟังเพลงผ่อนคลายแถมยังช่วยทำให้ความจำไม่มั่วอีกด้วย

6.ช่วยให้ฟันแข็งแรง

ความหวานจะเป็นแหล่งอาหารชั้นดีของแบคทีเรียต่าง ๆ การดื่มน้ำอัดลมจะทำให้ฟันของคุณไม่แข็งแรง เกิดฟันผุได้ง่ายและทำให้สีของฟันเป็นคราบเหลือง ๆ ไม่สวย แต่หลังจากเลิกกินแล้ว ไม่ต้องฟอกสีฟันบ่อย ๆ แถมฟันไม่ผุและกลิ่นปากก็ลดลงด้วย

7.ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน

หลังจากเลิกดื่มน้ำอัดลม รู้สึกว่ากระดูกแข็งแรง ไม่ปวดเข่า ไม่เหนื่อยง่าย บางทีอาจจะเป็นเพราะน้ำหนักตัวลดลงก็ได้ แต่หมอก็บอกว่า เมื่อลดน้ำอัดลม ก็เหมือนกับลดความเสี่ยงของการเกิดโรคกระดูกพรุน

8.ระบบสืบพันธุ์แข็งแรงขึ้น

ในน้ำอัดลมกระป๋องจะมีสาร BPA ที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่าง ๆ เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งเต้านม และมะเร็งในช่องคลอด อีกทั้งยังทำให้ต่อมไร้ท่อทำงานได้ไม่ดี นอกจากนั้นยังทำให้เกิดภาวะมีบุตรยากและระบบสืบพันธุ์ทำงานแย่ลงอีกด้วย

การงดดื่มน้ำอัดลมนอกจากจะมีประโยชน์ในหลายๆ ด้านแล้ว ยังช่วยให้อายุยืนมากขึ้นด้วย เนื่องจากความหวานเป็นตัวการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่หากงดความหวานเหล่านี้ ร่างกายก็จะฟื้นฟูและปรับสภาพ ส่งผลให้ร่างกายแข็งแรงลดปัญหาสุขภาพร้ายแรงต่าง ๆ ลงได้ค่ะ

จุกเสียดท้องหลบไป แก้ได้ง่ายๆด้วย 5 วิธีนี้

จุกเสียดท้องหลบไป แก้ได้ง่ายๆด้วย 5 วิธีนี้

อาการแน่นท้อง จุกเสียด หายใจไม่สะดวก นั้นอาจทำให้หลายคนเกิดอาการรำคาญใจเพราะนั่งก็ไม่สบาย นอนก็ไม่สะดวก อึดอัดไปหมด หากเพื่อนๆเคยมีปัญหานี้เหมือนกับเรา ไม่ต้องห่วงค่ะ เรามีวิธีแก้อาการจุกเสียดแน่นท้องให้หายไปได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง สูตรจากคุณยายทวดที่บ้าน

1.แก้จุกเสียดท้องด้วยสมุนไพรบ้านๆ

คุณยายบอกว่าสมุนไพรพื้นบ้านของเราหลายชนิดสามารถแก้อาการจุกเสียดแน่นท้องได้อย่างชะงัด เช่น ขิง ชาเขียวเปลือกส้ม กระเทียม หอมแดง  ตะไคร้  ใบกระเพรา พริกไทยดำและ ขมิ้นชัน คุณยายบอกว่าเลือกเอาที่เรามีได้เลยนะ หรือเลือกอันที่หาได้ง่ายที่สุดมาต้ม หรือชงเป็นชา แล้วจิบเบา ๆ  สมุนไพรเหล่านี้จะช่วยขับลม แก้ท้องอืด ลดอาการจุกเสียด แน่นท้อง  กระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดียิ่งขึ้น สักพักจะรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัวขึ้น

2.แก้อาการจุกเสียดด้วยอาหารบางชนิด

อาหารบางอย่างอาจทำให้รู้สึกไม่สบายท้อง แต่อาหารบางอย่างก็สามารถช่วยแก้อาการท้องอืด จุกเสียด แน่นท้องได้เป็นอย่างดี อาหารเหล่านี้จะช่วยขับลมและลดอาการแน่นท้อง เช่น น้ำมะนาว มะละกอ มะเขือเทศ สับปะรด แตงกวา กล้วย แอปเปิลผักชีลาว หรือ กิมจิ   อาหารเหล่านี้จะมีเอนไซน์ช่วยย่อยอาหาร ส่วน  ขิง โยเกิร์ต  แตงโม ข้าวโอ๊ต กีวี  กะหล่ำปลี และแครอท จะช่วยลดการระคายเคือง และเป็นยาลดกรดธรรมชาติ การรับประทานอาหารเหล่านี้ในระหว่างอาหาร หรือหลังการกินมื้อหนัก หรือเมื่อรู้สึกถึงอาการจุกเสียดแน่นท้องก็สามารถช่วยบรรเทาอาการได้เป็นอย่างดี

3.ทำโยคะ

ใครว่าจุกแล้วทำโยคะไม่ได้ พลาดแล้วค่ะ เพราะโยคะ เป็นการออกกำลังกายเบา ๆ และบางท่าจะมีท่าช่วยขับลม ช่วยกระตุ้นให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการท้องขึ้น ท้องอืด หรือท้องเฟ้อได้ เช่น โยคะท่า Ardha Baddha Padmottanasana ช่วยกำจัดสารพิษเร่งการย่อยอาหาร  ท่า Utthita Parsrakonasana ช่วยกระตุ้นการขับถ่าย  ท่า Salabhasana ช่วยบรรเทาอาการท้องอืด และท่า Pavananuktasana ช่วยขับลมและนวดลำไส้

4. การนวดกดจุด

การนวดกดจุดก็เป็นทางเลือกที่ดี สำหรับการช่วยย่อยอาหารและแก้อาการแน่นท้องได้  จุดที่นิยมกดเพื่อช่วยในการย่อยอาหารคือ บริเวณมือตรงระหว่างกลางของนิ้วชี้และนิ้วโป้ง ตรงบริเวณท้องตรงใต้สะดือข้างบนหัวเหน่า  2 จุดนี้จะนิยมมากในการกดเพื่อรักษาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ แค่กดลงไปและนวดเบา ๆ จะช่วยให้ท้องเรารู้สึกเบาสบายขึ้นได้

5. กินยาธาตุน้ำขาวหรือยาลดกรด

การกินยาธาตุน้ำขาวหรือยาลดกรดเป็นวิธีที่ง่ายมาก วิธีนี้คุณยายไม่ได้บอกแต่เราแถมให้ เพราะยาเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อบรรเทาอาการโดยเฉพาะ เพียงแค่เราหยิบมาดื่มเท่านั้น ก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความหนักหน่วง และเบาสบายท้องได้

และนี่ก็คือวิธีการแก้จุกเสียดท้องแบบง่ายๆตามแบบฉบับของคนโบราณการรักษาอาการจุกเสียดแน่นท้องอาจต้องใช้ระยะเวลาสัก 10-15 นาทีเพื่อให้ร่างกายได้ทำงานอย่างเต็มที่ แต่ทางที่ดี หากไม่อยากทรมานกับอาการเหล่านี้บ่อยนักให้เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์แบบพออิ่ม เลิกกินอาหารเร็ว ๆ และกินมากเกินไป ก็จะช่วยให้เราไม่ต้องเผชิญกับภาวะท้องอืดท้องเฟ้อ หรือจุกเสียดแน่นท้องบ่อย ๆได้ค่ะ

ผักผลไม้ที่มีสารตกค้างมากที่สุด และวิธีการล้างทำความสะอาด

ผักผลไม้ที่มีสารตกค้างมากที่สุด และวิธีการล้างทำความสะอาด

ผักผลไม้ที่เราซื้อมารับประทานในชีวิตประจำวันนั้น พบว่ามีการใช้สารเคมีในการปลูกทำให้เกิดการตกค้างอย่างมาก เรียกได้ว่า บางครั้งสารเคมีตกค้างในผักและผลไม้มีมากกว่าอย่างอื่นเสียด้วยซ้ำ จากที่เมื่อก่อนเรามักคิดว่า การบริโภคผักผลไม้นั้นดีต่อสุขภาพ แต่สมัยนี้อาจไม่จริงเสมอไปเพราะสารเคมีที่ตกค้างในผักผลไม้ อาจทำให้เราเกิดโรคต่าง ๆ ได้  และวันนี้เราจะบอกถึง ผักหรือผลไม้ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าพบสารเคมีตกค้างมากที่สุดเพื่อน ๆ ควรระมัดระวังในการเลือกซื้อ หากซื้อมาแล้วควรล้างให้สะอาดค่ะ

ผักหรือผลไม้ที่มีสารตกค้างมากที่สุด ได้แก่

  1. ประเภทผักยอดนิยมที่หลายคนชอบรับประทาน ได้รับการตรวจพบว่า มีสารตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ถั่วฝักยาว คะน้า พริกแดง กะเพรา และกะหล่ำปลี
  2. ประเภทผักพื้นบ้านที่ใคร ๆ ก็คิดว่าไม่น่าจะมีสารตกค้าง แต่ก็ตรวจพบว่ามีสารตกค้างมากที่สุด ได้แก่ ใบบัวบก ชะอม ตำลึง และสายบัว
  3. ประเภทผลไม้แสนอร่อย หาง่าย ราคาถูกที่ใคร ๆ ต่างก็ไม่คิดว่ามันจะมีสารตกค้าง แต่ใครจะเชื่อว่าผลไม้เหล่านี้มีสารตกค้างเป็นจำนวนมาก เช่น   ส้ม องุ่น แก้วมังกร มะละกอ กล้วย มะพร้าว สับปะรด

ผักและผลไม้ที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่จะพบสารกำจัดศัตรูพืช  การเลือกซื้อผักผลไม้ที่ตรวจพบว่ามีอัตราสารเคมีตกค้างสูงจึงจำเป็นต้องได้รับการล้างทำความสะอาดอย่างถูกวิธี เพื่อที่จะกำจัดสารเคมีตกค้างออกให้มากที่สุดเพื่อสุขภาพร่างกายของเราเอง

โดยการล้างผักและผลไม้ที่มีประสิทธิภาพควรทำดังนี้

  1. ล้างผักด้วยน้ำไหล เช่น นำผักที่เราซื้อมาใส่ลงในตะกร้าแล้ว เปิดน้ำใส่ผักแล้วปล่อยให้น้ำไหลไปเรื่อย ๆ วิธีนี้จะช่วยลดสารพิษตกค้างได้ 25-65%
  2. ใส่ผงฟูหรือเบคกิ้งโซดา ครึ่งช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 10 ลิตร จากนั้นแช่ผักลงไปสัก 15 นาที ก่อนนำมาล้างด้วยน้ำสะอาด อีก 1-2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารเคมีตกค้างได้ถึง 90-95%
  3. ใส่น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ต่อน้ำ 4 ลิตร จากนั้นนำผักไปแช่ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด 1-2 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยลดสารเคมีตกค้าง 60-84%
  4. ปอกเปลือกให้สะอาด เช่น หากซื้อส้มมารับประทานอย่าใช้ปากปอกเปลือก ให้ใช้มือปอกเปลือกให้หมดแล้วค่อยทาน วิธีนี้ใช้ได้กับผักและผลไม้หลายชนิด เช่น เงาะ แตงกวา เด็ก ๆ หลายคนมักใช้ปากแกะเปลือกออกดังนั้นผู้ปกครองต้องระวัง

การเลือกซื้อผักผลไม้หากเราไม่ได้ปลูกเองให้คิดเอาไว้เสมอว่าอาจมีสารตกค้าง ดังนั้นก่อนนำไปรับประทานหรือปรุงอาหารควรล้างทำความสะอาดก่อนเพื่อกำจัดสารเคมีตกค้างออกไปให้มากที่สุด จะได้ไม่ไปสะสมในร่างกายก่อให้เกิดโรคร้ายแรงขึ้นในภายหลัง การเลือกซื้อผัก และควรเลือกซื้อผักตามฤดูกาลและเลือกผักที่มีสีและขนาดปกติไม่อวบอ้วน สีสวยจนเกินไป  การเลือกผลไม้เองก็ควรเลือกผลไม้ที่มีผิวสดใหม่ หากมีแมลงไต่ตามผลด้วยถือว่าปลอดภัยมากทีเดียว ดังนั้นควรสังเกตให้ดีจะช่วยลดสารเคมีที่จะเข้าสู่ร่างกายของเราได้ค่ะ

4 ข้อดีที่ควรชวนเด็กๆมาเล่นเทนนิส

4 ข้อดีที่ควรชวนเด็กๆมาเล่นเทนนิส

 เทนนิสเป็นกีฬาที่ให้ประโยชน์อย่างมากทั้งทางร่างกาย จิตใจและความรู้สึกนึกคิด หลายคนอาจคิดว่า เทนนิสเป็นกีฬาที่เหมาะสมกับผู้ใหญ่เท่านั้น แต่คุณเชื่อไหมว่า เทนนิสเป็นกีฬาที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย และข้อดีต่างๆของการเล่นเทนนิสนั้นก็ทำให้ผู้ปกครองหลายท่าน อยากผลักดันหรือสนับสนุนให้บุตรหลานของตนได้เล่นเทนนิส เดี๋ยวเราจะไปดูกันค่ะ ว่าการเล่นเทนนิสนั้นจะมีข้อดีต่อเด็กๆโดยตรงทางด้านใดบ้าง

1.ช่วยทำให้สุขภาพแข็งแรง

อย่างที่รู้ๆกันดีว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง การเล่นเทนนิสถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อทุกส่วนได้ขยับ เมื่อร่างกายได้ขยับก็เท่ากับว่ามวลกล้ามเนื้อต่างๆก็ได้รับการบริหารทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่ายๆ

2.ช่วยพัฒนาความคิดและสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อบุคคลอื่นๆ

การเล่นเทนนิสจะช่วยให้เด็กๆได้ใช้ความคิด ได้หัดกลยุทธ์ใหม่ๆรวมทั้งได้ฝึกความใจเย็นและความอดทน ที่สำคัญการเล่นเทนนิสนั้นยังช่วยให้เด็กๆมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่นและคนรอบข้าง

3.ช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีในครอบครัว

การเล่นเทนนิสด้วยกันทั้งครอบครัว จะช่วยเสริมความใกล้ชิด เพิ่มความสนุกสนานและความไว้วางใจต่อกันในครอบครัว ทำให้ครอบครัวมีความสุขและได้ใช้เวลาร่วมกันสามารถติดต่อสื่อสารหรือช่วยกันแก้ไขปัญหาได้อย่างดี

4.ช่วยเพิ่มการทำงานของสมอง ทำให้สมองปลอดโปร่งและมีความคิดที่เฉียบคมขึ้น

เด็กๆอาจจะมีประสบการณ์ทางความคิดได้ไม่ดีเท่าผู้ใหญ่ ดังนั้นการช่วยเพิ่มพัฒนาการทางด้านความคิดและการแก้ไขปัญหาของเขา จะช่วยให้เขาสามารถดำรงชีวิตต่อไปในภายภาคหน้าได้อย่างมีความสุข การเล่นเทนนิสไม่เพียงแต่จะช่วยให้สมองทำงานได้อย่างเต็มที่แต่ยังช่วยเพิ่มความคิดในเชิงวิเคราะห์ กลยุทธ์ การวางแผน รวมถึงการปล่อยวางและเริ่มต้นใหม่ด้วย ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆสำหรับการใช้ชีวิตในปัจจุบันที่มีภาวะความเครียดทางสังคมสูง

5.สอนทักษะการใช้ชีวิต

กีฬาเทนนิสจะสอนให้เด็กๆ มีวินัย มีความอดทน มีความซื่อสัตย์สุจริต รักความยุติธรรม สามารถมีสมาธิและโฟกัสไปที่เป้าหมายได้อย่างแน่วแน่ นอกจากนี้ยังช่วยให้เด็กๆรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง สิ่งเหล่านี้ถือเป็นทักษะการใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยมมาก และจะดีมากถ้าเด็กๆได้มีพื้นฐานที่ดีจะช่วยให้เขาเป็นคนดีและประสบความสำเร็จในชีวิตของเขาเองในวันข้างหน้า

การเล่นเทนนิสนั้นเรียกได้ว่าเป็นกีฬาที่ให้ประโยชน์ต่อทุกเพศทุกวัยอย่างไม่มีตกยุค โดยเฉพาะเด็กๆแล้วถือว่ากีฬาเทนนิสจะช่วยปลูกฝังความคิดและจิตใจแถมยังสอนทักษะอันมีค่า ที่จะช่วยนำพาชีวิตของพวกเขาให้มีความสุขและสมปรารถนาในทุกสิ่งที่เขาต้องการ

4 เคล็ดลับจัดการกับโรคอ้วนลงพุงได้ง่ายๆ แค่ทำตามวิธีเหล่านี้

4 เคล็ดลับจัดการกับโรคอ้วนลงพุงได้ง่ายๆ แค่ทำตามวิธีเหล่านี้

ปัญหาอ้วนลงพุง เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในทุกเพศทุกวัย ซึ่งบางครั้งแม้แต่คนที่ผอมก็ยังมีปัญหาอ้วนลงพุงได้เช่นกัน การมีไขมันหน้าท้องสะสมเยอะนอกจากจะทำให้รู้สึกอึดอัดแล้ว ยังทำให้ใส่เสื้อผ้าแล้วไม่สวย แถมยังอาจทำให้เกิดโรคหลายโรคตามมา มากมาย ดังนั้นเราจึงมีเคล็ดลับเด็ด ๆ ที่จะช่วยจัดการกับโรคอ้วนลงพุง ให้หายไป เผยเอวบาง ๆ เนียนเรียบไม่มีไขมันส่วนเกินให้หนุ่ม ๆ ได้มองกันตาค้างด้วยเทคนิคเหล่านี้

1. ลด ละ เลิกการรับประทานน้ำตาล

การกินน้ำตาลมากเกินไปจะส่งผลต่อโรคอ้วนลงพุงได้ง่ายมาก แต่การลดน้ำตาลนั้นก็ค่อนข้างที่จะยากหน่อยเพราะน้ำตาลแฝงนั้นมีอยู่ทั่วไปในอาหารเกือบจะทุกประเภท เพื่อการลดพุงที่ดี เราต้องเลือกทำอาหารกินเอง เพื่อที่เราจะได้ควบคุมปริมาณน้ำตาลที่เราจะรับประทานเข้าไปได้อย่างพอเหมาะ อีกทั้งเราต้องควบคุมการรับประทานเครื่องดื่มให้ดี เช่นเลือกดื่มน้ำเปล่า หรือชาเขียวที่ไม่ใส่น้ำตาล แทนการรับประทานน้ำอัดลม เป็นต้น

2. ควบคุมอาหารการกิน

การกินอาหารที่มีแบบแผนจะช่วยลดการอ้วนลงพุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังไม่ทำให้คุณต้องเหนื่อยกับการออกกำลังกายที่มากเกินไปที่อาจจะทำให้คุณรู้สึกท้อแท้กลางคันได้ ซึ่งการควบคุมอาหารการกินที่เหมาะสม ควรทำ เช่น

  • ลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในมื้ออาหารลง หรือเปลี่ยนจากการรับประทานข้าวขาวเป็นข้าวกล้อง หรือข้าวไม่ขัดสีแทน เนื่องจากข้าวกล้องจะเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ร่างกายย่อยสลายได้ช้า ส่งผลให้เกิดการสะสมเป็นไขมันได้ลดลง
  • กินโปรตีนให้มากขึ้น เนื่องจากโปรตีนจะช่วยให้ร่างกายอิ่มเร็วและอิ่มนาน อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้ดี
  • เพิ่มผักและผลไม้ในทุกมื้ออาหาร เพื่อให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้สะดวกขึ้น และช่วยแก้อาการท้องผูกได้
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกายทำงานได้อย่างราบรื่น

3. งดดื่มแอลกอฮอล์

การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้เกิดโรคอ้วนลงพุงได้ง่ายมาก  ซึ่งจากการศึกษาหนึ่งพบว่า ผู้คนจำนวน 2000 คนที่ดื่มแอลกอฮอล์ 1 แก้วเป็นประจำทุกวันสามารถเกิดโรคอ้วนลงพุงได้มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มถึง 28 %

4. ทำใจให้สบายและไม่เครียด

ความเครียดจะทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงมากขึ้น และฮอร์โมนนี้จะทำให้ร่างกายเก็บกักไขมันเอาไว้ที่พุงมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่คนเครียดมักมีปัญหาอ้วนลงพุง การจัดการกับความเครียดอาจทำได้หลายวิธี เช่น ทำสมาธิ  ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือการใช้ความหอมเพื่อช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและสลายความเครียด

การรักษาโรคอ้วนลงพุง จริงๆแล้วสามารถทำได้ด้วยตัวเอง แค่ปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตอยู่ให้เหมาะสมและหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจก่อให้เกิดไขมันสะสม เพียงเท่านี้ปัญหาอ้วนลงพุง ก็จะโบกมือลาไปอย่างถาวร

7 ผลไม้วิตามินซีสูง กินต้านหวัดได้

7 ผลไม้วิตามินซีสูง กินต้านหวัดได้

 7 ผลไม้วิตามินซีสูง กินต้านหวัดได้

โรคหวัดเป็นโรคที่พบได้ทุกฤดูกาล แค่อากาศเปลี่ยนเราก็เป็นหวัดได้  โรคหวัดถึงแม้จะไม่ร้ายแรง เป็นแล้วหายเองได้ แต่ระหว่างที่เป็นไข้หวัดก็ทำให้เราทุกข์ทรมานอีกทั้งหวัดยังเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคตามมาอีกหลายๆโรค การป้องกันไข้หวัดนั้นมีหลายวิธีหนึ่งในวิธีที่ดีก็คือ การเลือกกินอาหารที่มีวิตามินซีสูง การรับประทานวิตามินซีอย่างน้อย 60 mg ต่อวันจะเพียงพอต่อความต้องการของคนปกติ แต่วิตามินซี  1000 mg ต่อวันจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานของร่างกายและบำรุงผิว ดังนั้นในบทความนี้จะบอกถึงผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่กินแล้วสามารถต้านเชื้อหวัดได้ เพียงแค่เรารับประทานผลไม้เหล่านี้ทุกวันไข้หวัดคงไม่เข้ามาใกล้เราอย่างแน่นอน

1.มะขามป้อม

มะขามป้อมมีวิตามินซีสูงมาก  ซึ่งถ้าเทียบกับแอปเปิลมะขามป้อมจะมีวิตามินซีสูงกว่าถึง 160 เท่า ในมะขามป้อม 100 กรัม จะมีวิตามินซี 276 mg เพียงแค่เรารับประทานมะขามป้อมแค่วันละ 1 ผล ก็จะได้รับวิตามินซีที่เพียงพอในแต่ละวัน แถมวิตามินซีในมะขามป้อมนั้นจะไม่ลดลงถึงแม้ว่าผลของมันจะแห้งหรือถูกเก็บไว้นานๆ  

2.ฝรั่ง

ฝรั่งก็จัดได้ว่าเป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่มีวิตามินซีสูง ในฝรั่ง 165 กรัมจะมีวิตามินซีถึง 377 mg  ซึ่งสูงกว่าส้มถึง 5 เท่า แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด การรับประทานฝรั่งควรรับประทานทั้งเปลือกเพื่อให้ได้รับคุณค่าสารอาหารในฝรั่งอย่างครบถ้วน

3.กีวี

กีวีก็เป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงเช่นกัน กีวี 1 ลูก(100 กรัม)จะไดรับวิตามินซี 105 mg  การรับประทานกีวีวันละ 2 ผลจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอละกระต้นการสร้างเซลล์ใหม่ๆ

4.ลิ้นจี่

ผลไม้พื้นบ้านของไทยที่หาง่ายตามฤดูกาลในลิ้นจี่ 100 กรัม มีวิตามินซี 71.5 mg ในตำราจีนโบราณได้นำลิ้นจี่มารักษาอาการหวัด ช่วยแก้อาการติดเชื้อในลำคอ บรรเทาอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย และบรรเทาอาการคัดจมูก

5.มะละกอสุก

มะละกอเป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานทั้งดิบและสุก ในมะละกอสุก 100 กรัม จะมีวิตามินซี 62 mg  ช่วยขับปัสสาวะแถมยังเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

6.สตอเบอรี่

ผลไม้หน้าตาดีที่คนนิยมอย่างมาก เพราะอร่อยและดีต่อสุขภาพ ในสตอเบอรี่100 กรัม จะมีวิตามินซี 60 mg ช่วยป้องกันโรคหวัดและโรคต่างๆอีกทั้งยังช่วยบำรุงสายตาและลดอัตราการเสื่อมของจอประสาทตา

7.เงาะ

เงาะเป็นผลไม้รสหวารอร่อยที่มีวิตามินซีสูง เพราะใน เงาะ 100 กรัม จะมีวิตามินซี 53 mg ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ แต่การทานเงาะที่มากเกินไปอาจจะทำให้ท้องอืดหรือท้องผูกได้

ผักและผลไม้พื้นบ้านของไทยยังมีอีกหลายชนิดที่มีวิตามินซีสูงอย่างเช่น มะรุม พริกหวาน บล็อกโคลี่ ฯลฯ การได้รับวิตามินซีที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวันจะช่วยให้ร่างกายของเราทำงานได้เป็นปกติ วิตามินซีที่ได้จากธรรมชาตินอกจากราคาไม่แพงแล้วยังมีสารอาหารอีกหลายชนิดที่ร่างกายได้ใช้ประโยชน์ เพื่อสุขภาพที่ดีควรทานผักผลไม้ให้เพียงพอในทุกๆวัน